วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

มีไว้ติดบ้าน "น้ำผึ้ง" สารพัดประโยชน์++

*** น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล 


*** แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็ คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆ มันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆ เย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม

*** อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง 
*** น้ำผึ้งกับอบเชย
  กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของ

*** ส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชยสามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก 
*** น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก) ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

*** ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่า
แม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน 

*** หนังสือ World Weekly News ของแคนาดา ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของ
น้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนัก
วิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :-


*** 01. โรคหัวใจ

*** นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลี่
และแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา 
ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจ
ดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ได้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า 
*** เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย 
*** น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

*** 02. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)    
ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำ
*** โดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อน กับผงอบเชย 1 ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้า
และเย็นก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย
โคเปนฮาเกนพบว่าหมอให้คนไข้ รับประทาน
*** น้ำผึ้งขนาด2ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาดครึ่งช้อนชา ก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์ คนไข้จำนวน 73 คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คน ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง
มีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

*** 03. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)
*** ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

*** 04. คอเลสเตอรอล
 (Cholesterol)
***  ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 3 ช้อนชาในน้ำชา ขนาด 16 ออนซ์ ให้คนไข้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภาย
ในเวลา 2 ชั่วโมง ระดับคอเลสเตอ รอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ 
ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลา คอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้ 
ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่าการดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์
พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

*** 05. ไข้หวัด (Colds)  
สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดทั่วไป หรือไข้หนัก
*** ควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย ¼ ช้อน ทุกวัน เป็นเวลา 3 วัน ก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง

*** 06. อาการท้องอืด 

*** ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย

*** 07. ลมในกระเพาะ (Gas)
*** ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่าถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลด
ลมภายในกระเพาะอาหารลงได้ 

*** 08. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immune System)
*** การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่ม
*** ภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้ง
*** มีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก การรับประทานน้ำผึ้งประจำ
ยังเพิ่มเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ 

*** 09. อาหารไม่ย่อย
*** โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี

*** 10. ไข้หวัดใหญ่
*** นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่
และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่

*** 11. ยาอายุวัฒน
อาหารที่มีพลังงานสูง

*** การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา 
*** วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วนำไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนัเปล่งปลั่ง
 นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี


*** 12. แก้สิว
*** ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 1 ช้อนชาให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนแล้วล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น  ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

*** 13. ผิวหนังติดเชื้อ

*** ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆ กันทาบริเวณที่ติดเชื้อ   
*** จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนัง
ชนิดต่างๆ ได้

*** 14. ลดน้ำหนัก
*** ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงขณะท้องว่างและก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก แม้คนที่อ้วนมากๆ  
*** เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้ 
จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย

*** 15. โรคมะเร็ง    
*** ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า 
*** ผู้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆ แล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าว
*** ควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ 3 เวลา ประมาณ 1 เดือน

*** 16. แก้อาการอ่อนเพลีย (Fatigue)
***  ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการ
เพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆ กัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น 
*** ดร. มิลตัน ที่ศึกษาเรื่องนี้ กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ 
ในแก้วหนึ่งแก้ว โรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ
15.00 น. เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมี
ชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

*** 17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)
*** ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ
*** กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

*** 18. สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss)
*** การรับประทานน้ำผึ้ง และผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเช้า
และก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม 

*** วค.15 กันยายน 2557
อาจารย์นิพนธ์อายุ 83 ปีแล้ว ท่านดื่มเป็นประจำ สุขภาพแข็งแรงมากค่ะ วิจัยล่าสุดพบว่า ลดความดันได้ด้วย

􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿􀔃􀇗sparkling 1􏿿

Cr.พระสุรแสน

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เซลล์สมองที่ถูกลืม >> แรงผลักดันให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข!!


 Mirror Neurons หรือเซลล์สมองกระจกเงา คือเซลล์สมองกลุ่มที่ทำให้เราหาวตามคนที่หาว หรือเศร้าตามคนอื่น

 ซึ่งช่วยให้มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับความเข้าใจ รู้จักเห็นอกเห็นใจ และพร้อมจะช่วยเหลือกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้คือแรงผลักดันให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

 ทำไมเวลาเพื่อนหาว คุณมักจะหาวตามไปติดๆ
 ทำไมแค่เห็นคนตรงข้ามหยีหน้าด้วยความเปรี้ยวของอาหาร คุณก็รู้สึกน้ำลายสอตามไปด้วย

 ทำไมเวลาตัวละครโปรดร้องไห้ คุณถึงรู้สึกโหวงที่อกซ้าย ทั้งที่มันเป็นเพียงเรื่องสมมติ

 ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันเหล่านี้อธิบายได้จากการทำงานของเซลล์สมองกลุ่มหนึ่งซึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ในสมองส่วนหน้า เซลล์สมองกลุ่มนี้ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญราวสิบกว่าปีก่อน

 เมื่อนักวิจัยชาวอิตาเลียนนำไอศกรีมเข้ามารับประทานในห้องทดลอง ซึ่งมีกลุ่มลิงที่ถูกติดเครื่องมือวัดคลื่นสมองนั่งมองตาปริบๆ

 ‘แกรก แกรก แกรก’ คลื่นสมองของลิงกระตุกเป็นระยะๆ ตามจังหวะการเลียไอศกรีมของนักวิจัย สมองส่วนกินของเจ้าลิงถูกกระตุ้นราวกับพวกมันได้กินไอศกรีมไปด้วยจริงๆ

 ปรากฏการณ์ในสมองของเจ้าลิงจุดประกายให้บรรดานักวิจัยสืบค้นต่อไปจนพบว่ามีเซลล์สมองกลุ่มหนึ่งถูกกระตุ้นเมื่อเจ้าลิงเห็นภาพ และสะท้อนภาพที่เห็นไปยังสมองส่วนอื่น ทำหน้าที่ราวกับเป็นกระจกเงาสะท้อน

 เมื่อเจ้าลิงเห็นเพื่อนเต้นรำ สมองส่วนเต้นรำของมันก็ถูกกระตุ้นตาม เมื่อเจ้าลิงเห็นเพื่อนเจ็บปวด สมองส่วนเจ็บปวดก็ถูกกระตุ้นไปด้วย นักวิจัยจึงตั้งชื่อให้กับเซลล์สมองส่วนนี้ว่า Mirror Neurons หรือเซลล์สมองกระจกเงา

     จากลิงมาสู่คน งานวิจัยพบว่าในคนเองก็มีเซลล์สมองกระจกเงาเช่นกัน เซลล์เหล่านี้พร้อมจะกระตุ้นสมองส่วนควบคุมกล้ามเนื้อ เมื่อเราเห็นภาพคนเคลื่อนไหวก็พร้อมจะกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์

 เมื่อเราเห็นภาพสะเทือนใจที่ตรงกับประสบการณ์ในอดีต เซลล์สมองกระจกเงาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่เบื้องหน้าได้ง่ายขึ้น

 นั่นหมายความว่าการเอาใจเขามาใส่ใจเราไม่ได้เป็นเพียงเรื่องนามธรรม แต่มีความเป็นรูปธรรมถึงในระดับเซลล์ที่ทุกคนมีอยู่ในสมองตั้งแต่กำเนิด

 แต่ละหน้าที่ของเซลล์ในร่างกายเราล้วนมีเหตุผลที่ตอบโจทย์การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ เซลล์สมองกระจกเงาก็เช่นกัน

 นักวิวัฒนาการบางกลุ่มเชื่อว่าเซลล์สมองกลุ่มนี้มีส่วนช่วยให้มนุษย์รู้จักการเลียนแบบพฤติกรรมและส่งต่อทักษะการดำรงชีพต่างๆ จากลิงตัวแรกที่รู้จักหยิบจับหินมาเป็นเครื่องมือ

 ทักษะนั้นถูกส่งต่อไปทั้งเผ่าพันธุ์ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือเซลล์สมองกลุ่มนี้ช่วยให้มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับความเข้าใจ รู้จักเห็นอกเห็นใจ และพร้อมจะช่วยเหลือกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้คือแรงผลักดันให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

 ทันทีที่นิ้วก้อยขวาของหมอเคาะตัว ข.ไข่ ในคำว่า ‘สงบสุข’ ความเอ๊ะ! ก็ปรากฏขึ้นในสมอง พร้อมอาการแย้งในใจขึ้นมาว่า การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เราในปัจจุบันนั้น

 หาความสงบสุขได้ไม่ง่ายเลย ทั้งที่เราเกิดมาพร้อมกับเซลล์สมองที่พร้อมจะเข้าใจและเห็นใจคนอื่น แต่เรากลับใช้สมองส่วนอื่นจนลืมที่จะใช้งานสมองส่วนนี้

 ความหมางเมินระหว่างมนุษย์เรากับเซลล์สมองส่วนกระจกเงาอาจเกิดจากการที่เทคโนโลยีในปัจจุบันเอื้อให้เรามีหลายสิ่งชวนให้เบี่ยงเบนความสนใจ

 สัญญาณการรับรู้ที่ส่งผ่านประสาทสัมผัสอย่างตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั้นไม่ได้ถูกส่งมาจากสิ่งรอบตัวเบื้องหน้า

 แต่กลับถูกส่งผ่านสัญญาณดิจิทัลจากที่ไกลแสนไกลออกไป หลายครั้งที่เราพร้อมจะสนใจเรื่องราวของคนไม่รู้จักในมือถือมากกว่าการเคลื่อนไหวของคนรู้จักที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า

 และหลายคราที่เราคิดวิเคราะห์ในเรื่องของคนที่ไม่ได้มีวงจรชีวิตเกี่ยวข้องกับเราเลยมากกว่าที่จะคิดถึงคนในครอบครัว

 เซลล์สมองไม่ต่างกับกล้ามเนื้อแต่ละมัดในร่างกาย กล้ามเนื้อมัดไหนที่ได้รับการฝึกฝนบ่อยก็จะแข็งแรง ตอบสนองได้ดี ในขณะที่กล้ามเนื้อมัดที่ไม่ค่อยได้รับการใช้งานก็จะฝ่อ ฟีบ และหมดความสำคัญไปในที่สุด

  ถ้าเราทุกคนต่างฝึกเซลล์สมองกระจกเงาให้สะท้อนสัญญาณมากกว่าการหาว การหิว หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ฝึกสังเกตและจับสัญญาณให้ละเอียดเพื่อให้กระจกเงานั้นฉายภาพลึกลงไปในความรู้สึกและอารมณ์ของคนรอบข้าง

 สะท้อนให้เราได้คุ้นชินกับการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ อย่างที่เราเคยทำมาแต่เก่าก่อน

 พวกเราอาจจะเข้าใจกันและกัน… มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

Cr.https://thestandard.co/opinion-read-young-mirror-neurons/