วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กระจ่างซะที!! เผยความลับ "ซักผ้าขาว" ของร้านซักรีด ให้ผ้าเก่ากลับมาเป็นผ้าใหม่ ผลที่ได้ประหยัดเงินสุดๆ แชร์เก็บไว้เลย!?



คงไม่มีใครอยากจะใส่เสื้อนักเรียนที่มีคราบเหลือง ๆ หรือขาวแบบหม่นไปโรงเรียนแน่ๆ เลยงอแงขอเสื้อตัวใหม่กันใหญ่ เอาเป็นว่าพ่อ-แม่ที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็สามารถทำตามคำขอของลูก ๆ ได้ง่าย ๆ 

เพียงแค่นำสูตรซักเสื้อขาวเหล่านี้ไปซักชุดนักเรียนตัวเก่าให้ลูก ๆ นำไปใส่ในวันเปิดเทอม รับรองว่าเสื้อนักเรียนที่เคยมีคราบหรือดูหมอง ๆ จะกลับมาขาววิ้งเหมือนใหม่ ลูกใส่แล้วไม่อายเพื่อนที่โรงเรียนแน่นอน

วิธีการซักผ้าขาว 

1. สูตรน้ำมะนาว

รสชาติเปรี้ยวเข็ดฟันของน้ำมะนาวนี่แหละ คือตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้ผ้าขาวกลับมาขาวสดใสได้อีกครั้ง โดยการผสมน้ำมะนาว ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก แล้วนำเสื้อมาแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือ 1 คืนก่อนนำไปซักตามวิธีปกติอีกครั้ง

2. สูตรน้ำส้มสายชู

สูตรนี้ให้ทำหลังจากซักเสร็จแล้ว โดยให้นำเสื้อมาซักน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวงผสมน้ำเปล่าอีกครั้ง ก่อนนำไปตากให้โดนแดด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผ้าขาวกลับมาใหม่และทำลายคราบหมองจนเกลี้ยง

3. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

หากผ้าขาวมีคราบเลอะจนทำให้เกิดคราบหมอง ให้ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ½ ถ้วยตวง กับเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง และน้ำเปล่าอีก 1 ถ้วยตวง เพื่อนำมาซักกับผ้าขาวแทนการใช้ซักผงฟอกตามปกติ

4. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กันน้ำยาล้างจาน

อีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ในการกำจัดคราบที่เป็นสาเหตุทำให้ผ้าขาวหม่นหมอง ด้วยการผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 2 ส่วนต่อน้ำยาล้างจาน 1 ส่วน เทลงบนคราบ แล้วขยี้จนกว่าคราบจะหายไป ก่อนนำไปซักตามปกติอีกครั้ง

5. สูตรสารฟอกขาว

นำสารฟอกขาวชนิด คลอรีน บลีช (Chlorine bleach) มาผสมกับน้ำเปล่าตามขั้นตอนที่ฉลากกำกับไว้ แล้วแช่ผ้าขาวทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนนำไปซักคราบออกให้เกลี้ยงเกลา

6. สูตรแอมโมเนีย

แอมโมเนียช่วยให้ผ้าขาวคุณขาวสะอาดได้เหมือนกัน โดยการผสมแอมโมเนียมาผสมกับน้ำเปล่าให้เจือจาง แล้วนำไปซักผ้าขาวพร้อมผงซักฟอก แต่มีข้อแม้ว่าอย่าผสมแอมโมเนียกับผงซักฟอกโดยตรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เนื้อผ้าเสียหายได้

7. สูตรกรดซาลิก

หากผ้าขาวสะอาดเลอะคราบสนิมเหล็ก กำจัดคราบออกได้ โดยผสมกรดซาลิกประมาณ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง ป้ายส่วนผสมที่ได้ลงบนคราบแล้วขยี้ แต่ถ้ายังมีคราบสีหลงเหลืออยู่ แนะนำให้ซักด้วยแอมโมเนียซ้ำอีกครั้ง แต่วิธีนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกรดซาลิกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้

8. สูตรเบกกิ้งโซดา

นอกจากเบกกิ้งโซดาจะช่วยทำความสะอาดบ้านได้แล้ว ยังทำให้ผ้าขาวเหมือนใหม่ได้อีกด้วย โดยการเทเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนนำผ้าขาวมาซักทำความสะอาดตามปกติ ผ้าขาวของคุณก็จะขาวสะอาดเหมือนใหม่เลยล่ะ

9. สูตรบอแรกซ์และน้ำส้มสายชู

สูตรนี้เรียกได้ว่าช่วยเพิ่มพลังกำจัดคราบได้อีกทางหนึ่ง เริ่มจากผสมบอแรกซ์ ½ ถ้วยตวงเข้ากับน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง เทผสมลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนซักผ้าขาวตามปกติ

10. สูตรน้ำซาวข้าว

รู้หรือไม่ว่าน้ำซาวข้าวที่เราเททิ้งนั้นมีประโยชน์มาก เพราะมันสามารถซักผ้าขาวของเราให้ขาวสะอาดได้ด้วยนะ โดยนำผ้าขาวไปซักแล้วแช่ไว้ในน้ำซาวข้าวผสมน้ำเปล่าประมาณ 2-3 นาที แล้วค่อยนำผ้าขาวมาซักอีกครั้ง

แม้ผ้าขาวของคุณจะหม่นหมองหรือเลอะคราบเปื้อนแค่ไหน สูตรซักผ้าขาวเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผ้าขาวของคุณกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ไม่ต้องเสียเงินซื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สิ้นเปลืองเลย

Cr.http://www.siamvariety.com/view-13624.html

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หมออินเดีย....ดีมากๆ รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด!

หมออินเดีย....ดีมากๆ 

เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา แม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้ฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง 



ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D. 

Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง 

ซึ่งคุณหมอจะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูดอันดับหนึ่งในรัฐคาน คุณหมอใช้วิธีรักษา แบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมาประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้” 

คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษ ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 

1. ยารักษาโรค (ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ )  

2. อาหารเสริม  

3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกาย ต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ 

คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหาร ที่เรากินเข้าไป ให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ

1.ทางลมหายใจ 
2.ทางเหงื่อ 
3.ทางปัสสาวะ  
4.ทางอุจจาระ  
5.ทางประจำเดือน 

และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก 

แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ 

ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป 

คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน 

เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10 - 15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย

ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ

น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวก! เราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก  “ อ้อย ” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ ใช่ ” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำ และไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคน เลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า 

คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “ เคย ” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้

คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว ( นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมอ) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาว และแข็งแรงอยู่เลย 

มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือเปล่า ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือเปล่าล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย ” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือเปล่ากินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือ เปล่าล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัว และนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ”

และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้ 
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง, ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และ มีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ขอคำปรึกษาได้ 

วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด 

สิ่งที่ควรรู้ก่อน

1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้า  และหลัง 4 โมงเย็น 

2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา)  และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว

3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง

4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับ และปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา

5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ 
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน

การดำรงชีวิตประจำวัน

1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า

2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง

3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟันประมาณ 10 นาที

4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้า และร่างกาย หลังจากนั้นให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิว ประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก 

5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้ 

6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก

7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง 

8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว 

9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลา ที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น 

การรับประทานอาหารที่ดี คือ ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง 

วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด 

โรคปวดท้องประจำเดือน 
วิธีรักษา  วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้อง และดีต่อการคลอด 

โรคปวดหัว 
วิธีรักษา  ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที 

โรคสิว 
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, ของทอด, พวกน้ำมัน, อาหารเผ็ด, แป้งขัดสี, น้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว 

โรคปวดเมื่อย 
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินกว่านี้) 

ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง 
วิธีรักษา 1.ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้ 
 2.ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม. 

โรคผิวหนัง 
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น 

โรคหัวใจ 
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ

โรคไมเกรน 
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน 

คนสายตาสั้นหรือยาว 
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา 
1. จากบนลงล่าง 
2. จากขวาไปซ้าย 
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย 
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา 
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา 
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย 
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้ , ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น 

โรคเหน็บชา 
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ 

โรคเบาหวาน 
วิธีรักษา  กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น
 หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้

ความดันโลหิตสูง 
วิธีรักษา  เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้ 

โรคสะเก็ดเงิน 
วิธีรักษา  กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด 

โรคคลอเรสเตอรอส 
วิธีรักษา  กินผักและผลไม้ 

โรคกระเพาะ 
วิธีรักษา  กินผักและผลไม้ 

โรคหวัด 
วิธีรักษา  กินแต่ผลไม้ 

ท้องเสีย 
วิธีรักษา  กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ

โรคนอนไม่หลับ 
วิธีรักษา  ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที 

การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น 

1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ 
2. การตากแดด ( เช้า-เย็น) 
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข 
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด 
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้) 

การล้างสารพิษในผักและผลไม้ 
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผัก และผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สาวแบงก์ฝันอยากเป็นชาวนา!! ปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต!!

สาวแบงก์ฝันอยากเป็นชาวนา!! ปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต บริโภคในครัวเรือนได้ตลอดปี


เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีพนักงานสถาบันการเงินในกรุงเทพฯ มาปลูกบ้านอยู่บ้านเลขที่ 16 หมู่ 12 ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตเพื่อเก็บไว้บริโภคภายในครัวเรือนลดรายจ่าย

 จึงเดินทางไปพบ นางปองกานต์ เนตรน้อย อายุ 46 ปี พร้อมกับ นายธนยศ เนตรน้อย อายุ 47 ปี สามี กำลังช่วยกันเติมน้ำและเก็บต้นวัชพืชในบ่อคอนกรีตทรงกลม ภายในปลูกข้าวจนต้นสูงชูช่อออกรวงสีทองสวยงาม


นางปองกานต์ เปิดเผยว่า พื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวเป็นชาวนาที่ปลูกข้าวไว้กินและขายให้กับโรงสี แต่ด้วยทางบ้านต้องการให้มีการศึกษาที่ดี ไม่ต้องมาก้มหน้าทำนาด้วยความยากลำบาก

 จึงส่งตนเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จนกระทั่งเติบโตและมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นพนักงานในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่การใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่มีความเร่งรีบ ภาวะความกดดันสูง รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีแต่สารพิษ

ทำให้ตนและคนในครอบครัวหันกลับมามองชีวิตว่าต้องการอะไร จนค้นพบว่าการมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากนั่นคือคำตอบ

 จากนั้นจึงกลับมาปลูกบ้านพักบนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ แล้วทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งปลูกมะนาว พริก มะละกอ รอบบริเวณบ้าน ขุดบ่อกักเก็บน้ำและใช้เวลาวันหยุดมาดูแล


“หลังจากที่ชาวนาต้องประสบปัญหาภัยแล้ง ไม่สามารถปลูกข้าวได้ แต่ราคาข้าวที่ชาวนาขายได้กลับตกต่ำ

 ในขณะที่ผู้บริโภคต้องซื้อข้าวขาวในราคาสูง แล้วทำไมเราไม่ลองปลูกข้าวไว้กินเองในครัวเรือนบ้างซึ่งนอกจากช่วยลดรายจ่ายแล้ว ยังสามารถกำหนดคุณภาพข้าวได้เอง

 จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการปลูกข้าว จึงตัดสินใจทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.20 เมตร จำนวน 72 บ่อ โดยใช้พันธุ์ข้าวหอมมะลิจากบุรีรัมย์” นางปองกานต์ เผย


นางปองกานต์กล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนในการปลุกไม่ยุ่งยาก เริ่มจากการเพาะต้นกล้าให้ได้อายุ นำลงปลูกในบ่อคอนกรีตที่เตรียมดินผสมปุ๋ยคอก

 ซึ่งใช้ต้นกล้าข้าวประมาณ 20 ต้นต่อ 1 บ่อ หรือดูที่ความเหมาะสมไม่ให้หนาแน่นเกินไปเมื่อต้นข้าวแตกกอในอนาคต

 ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มปลูกจะต้องหมั่นใส่น้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงข้าวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งข้าวออกรวงและสามารถเก็บเกี่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน โดยข้าว 1 บ่อ ให้ผลผลิตข้าวขาว 1 กิโลกรัม


การปลูกแต่ละครั้งจะได้ข้าวขาวประมาณ 72 กิโลกรัม ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคตลอดทั้งปีของครอบครัว

 ทั้งนี้จากการทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต ข้อดี คือความสะดวกและง่ายต่อการกำจัดวัชพืช ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี สามารถควบคุมปริมาณน้ำ

 และสารอาหารได้อย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าข้าวมีคุณภาพและปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือน

ที่มา https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_111813

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

" เทคนิค ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด"

" เทคนิค ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด"


 เคยได้ยินมาว่า ปลูกต้นผักหวานป่าให้รอดนั้นไม่ง่าย แต่ถ้ารอดแล้วก็อยู่ยาวเป็น10 ปีเลยทีเดียว 
ว่าแล้ว...ก็ลองปลูกต้นผักหวานป่าบ้างดีกว่า อยากรู้ว่ามันจะยากเหมือนที่เคยได้ยินมามั้ย... 


เราเริ่มต้นปลูกผักหวานป่า จำนวนทั้งหมด 100 ต้น กะว่าเหลือซัก 50 ต้น ก็นับว่าใช้ได้แล้วสำหรับเรา. แต่...ผลปรากฏว่าเกินความคาดหมาย คือ ตายไปแค่ 8 ต้น,เหลือรอด 92 ต้น... รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยโมเมเอาเองว่า วิธีนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น " เทคนิคอย่างหนี่งที่ปลูกต้นผักหวานป่า ให้รอดตาย "ได้เช่นกัน.


  ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์นี้แก่เพื่อนๆที่คิดจะปลูกผักหวานป่า ลองทำแบบเราดู แล้วท่านจะพบว่าไม่ยากอย่างที่คิด... 

 " เทคนิคปลูกต้นผักหวานป่า แบบสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคู " มีดังนี้... 


 1. เลือกใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดมาปลูก จะให้ผลผลิตดีและอายุยืนกว่า แบบกิ่งตอน 

 2. ปลูกพืชพี่เลี้ยงไว้ก่อนที่จะปลูกต้นผักหวานป่า เช่น ต้นมะขามเทศ,ชะอม,,โสน,กระถิน,ต้นแค ฯลฯ พืชที่กล่าวมานี้จัดเป็นพืชตระกูลถั่วทั้งหมด เลือกปลูกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะหลายอย่างก็ได้... สำหรับเราเลือกใช้ต้นแค ซึ่งปลูกไปพร้อมๆกับต้นผักหวาน และต้นมะขามเทศ (ต้นมะขามเทศนี่ ปลูกล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว)  เป็นพืชพี่เลี้ยง

3.เลือกทิศทางที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพของแสงแดด ต้นผักหวานป่านั้นไม่ชอบแดด ชอบอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ มีแสงรำไร

4.ระยะห่าง ระหว่างต้นและระหว่างแถว ~  2 x 2 เมตร

5.ขุดหลุมปลูก กว้าง และ ลึก เท่ากับขนาดของถุงต้นพันธ์ุ แล้วผสมปุ๋ยคอก( 2-3 กำมือ/ต้น) กับดิน ใส่รองก้นหลุมไว้

.... หรือจะเจาะรูก้นตะกร้าแบบนี้ก็ได้เพื่อเป็นการปกป้องลมและแสงแดดได้อีกระดับหนึ่ง เพราะ ต้นผ้กหวานอายุ 6เดือนนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก


8.ให้น้ำ 1 ครั้ง /สป. หรือ ดูตามสภาพอากาศ ,ส่วนปุ๋ยคอกให้เดือนละ 1 ครั้ง -ทางดิน และให้น้ำขี้หมู 1 ครั้ง/สป.-ทางใบ ด้วยจะดีมาก
 จากผลการทดลองปลูกผักหวานป่าของเราพบว่า ....

   1) ต้นผักหวานที่่ตายไป 8 ต้นนั้นเกิดจากรากหักตอนแกะถุงปลูก... ข้อเสนอแนะ ควรซื้อต้นพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มาปลูกคือเริ่มมีใบ 3-4 ใบก็พอเพราะรากแก้วยังไม่ยาวมากเหมือนต้นที่โตๆ ทำให้เวลาแกะถุงปลูกรากไม่ขาด  

   2) ต้นผักหวานเจริญเติบโตช้ามากในช่วงแรก เพราะเนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่าต้นผักหวานป่า ไม่ชอบน้ำ ชอบแบบแล้งๆไม่จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ก็ได้... 

ข้อเสนอแนะ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ต้นผักหวานป่านั้น ถึงแม้จะทนแล้งได้ดี แต่ถ้าเราดูแลเหมือนปลูกพืชทั่วๆไป แค่นี้ต้นผักหวานก็จะเจริญเติบโตได้ดีกว่านี้แน่นอน   

 ทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคการปลูกและการดูแลผักหวานป่าแบบที่ไม่ยากเลย...สำหรับวิธีการปลูกแบบนี้ได้รับการชี้แนะมาจากคุณลุงคนขายต้นพันธุ์ผักหวานป่า ทางสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคูต้องขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย ...
  
  ...ติดตาม " การเจริญเติบโต ต้นผ้กหวานป่า " ของเรา ได้ที่นี่ : คลิกที่นี่

http://baansunkoo-organic.over-blog.com/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.html

Cr. http://www.lovenayou.com/5686/

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!

ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!


ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!

คนแบบนี้ควรดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ !!

1. นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกรือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที นัก กีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อยจนล้า จะสดใสขึ้นทันตาเห็น 

2. คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายจะต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย 

3. วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำจะทำให้ควมจำดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้เด็ดนัก

4. คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆก็เพราะเลือดน้อยแต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุง และเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็น ปกติ 

5. คนเป็นไข้หวัดตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบ เพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ได้ดี และยังมีกรดลอริกที่เป็นยาฆ่าเชื้อ ดื่มแล้ว อาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น 

คนที่ต้องเลี่ยงน้ำมะพร้าว เพราะมันเกิดผลลบมากกว่า ..

คนเป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะให้ดีคนที่เป็นโรคนี้ควรระวัง 

คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจเราได้ สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ควรลีกเหลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าวค่ะ 


ที่มา...lacaverne.info

เผย 15 ต้นไม้มงคล ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี!!

เผย 15 ต้นไม้มงคล ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า


15 ต้นไม้มงคล..ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า

การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะประดับเพื่อความสวยงาม ให้ร่มเงาความร่มรื่น หรือนำผลนำดอกมาทาน มาปรุงอาหารก็ได้ 

ที่สำคัญยังมีต้นไม้บางชนิดที่ตามความเชื่ออย่างไทยโบราณที่บอกต่อกันมาช้านาน

 ในเรื่องช่วยเสริมสิริมงคลให้บ้านหลังนั้นและบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชื่นชอบเรื่องต้นไม้ และบ้านไหนที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกไว้ประดับบ้าน เชิญทางนี้ค่ะ

 วันนี้เอาใจคนรักต้นไม้ ด้วยข้อมูล 15 ต้นไม้มงคล ..ที่ควรปลูกไว้ในบ้าน มาฝาก ต้นอะไรบ้างนั้นมาดูกันค่ะ

1. ต้นมะยม

ด้วยชื่อ "มะยม" ตามความเชื่อโบราณเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้ายหรือเป็นศัตรูนั่นเอง และหากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันวิญญาณร้าย ภูตผีปีศาจได้ด้วย


2. ต้นกวนอิม

คนไทยให้ความเคารพบูชากันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงินกวนอิมทอง เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้าเชื่อกันว่า เมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล ให้มีฐานะดี มีความร่ำรวยยิ่งขึ้น 


3. ต้นกระดังงา

ด้วยชื่อที่เป็นมงคล เชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทอง มีลาภยศ 
– ควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว

4. ต้นมะม่วง

นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย
– ควรปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้าน

5. ต้นโกศล

ชื่อโกศล พ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดีช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข โกศล เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก ใบมีสีสันสวยสด ความหมายดี โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด ปลูกเพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใดๆ 
– แนะนำให้ปลูกต้นโกศลในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น

6. ต้นขนุน

การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้ 
– การปลูกควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด ผู้ที่ปลูกควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและควรปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี

7. ต้นมะขาม

ปลูกเพื่อต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามน่ายำเกรง และทำให้ผู้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ การทะเลาเบาะแว้ง และวิญญาณภูตผีปีศาจ
– แนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก 

8. ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน

ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย เด่นที่ดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามเป็นพวงระย้าสวยงาม เชื่อกันว่าจะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
– ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน

9. ต้นกล้วย

คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันอย่างแพร่หลาย สามารถนำส่วนต่างๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว ทั้งยังมีความเชื่อว่าจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นเอง 
– ปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน

10. ต้นไผ่

เป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อว่า กอไผ่จะทำให้คนในครอบครัวเกิดความปรองดอง สามัคคี ไม่แตกแตก รักใคร่กัน และไผ่ยังเป็นต้นไม้ ที่อ่อนตามลม จะทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า "มั่งมีศรีสุข" นั่นเอง และตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ 
– ควรปลูกต้นไผ่ไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า 

11. ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน

เชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ ถือเป็นดอกไม้เสี่ยงทายหากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย 
– ตามตำราแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี

12. ต้นแก้ว

มีจุดเด่นดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจมาก นิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารก็ได้ โดยคำว่า "แก้ว" หมายถึงสิ่งของมีค่าที่คนนับถือบูชา เปรียบได้กับของมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า หากปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มีความเบิกบานใจ และมีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจนั่นเอง
– แนะนำให้ปลูกในวันพุธ และปลูกไว้ทางทิศตะวันออก 


13. ต้นเข็ม

ดอกเข็ม ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีไหว้ครู เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดหลักแหลมเปรียบกับเข็มที่แหลมคม และการปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านเชื่อกันว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดได้ดี 
– ให้คนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ลงมือปลูก โดยเลือกปลูกทางทิศตะวันออก และปลูกในวันพุธ 

14. ต้นบานไม่รู้โรย

ชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยและคู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนานๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
– ควรปลูกในวันพุธ

15. ต้นโป๊ยเซียน

เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ จะทำให้ครอบครัวสงบสุข และเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ

– นิยมให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และควรปลูกในวันพุธ ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลมากที่สุด

สำหรับใครที่อยากจะหาต้นไม้มาปลูกประดับบ้าน ตอนนี้คงพอจะนึกออกแล้วนะคะ ว่าจะเลือกต้นไม้ชนิดไหนมาปลูกดี ถ้าหากต้องการเสริมศิริมงคลตามความเชื่อแบบไทยโบราณ

 ลองเลือกต้นไม้ที่เรานำมาฝากกันไปปลูกที่บ้านคัณ คุณจะได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ ให้ร่มเงา ความสวยงามน่าชม แล้วยังเสริมดวง เป็นศิริมงคลอีกด้วย
     
ข้อมูลจาก http://home.kapook.com/view44266.html

Cr. http://www.share-si.com/2016/11/15.html?m=1

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีการปลูกใบเตย การปลูกเตยหอม

วิธีการปลูกใบเตย


การปลูกเตยหอมนั้นเราจะต้องมีพื้นที่จะเพาะปลูก ต้องใกล้น้ำค่อนข้างแฉะ มีน้ำหมุนเวียนตลอดปี มีร่มเงารำไรให้ต้นเตยไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือตามร่องสวน ตามชายบ่อน้ำ

 ส่วนการปลูกในพื้นนามีการเตรียมดินคล้ายกับการทำนาแต่ทำเพียงครั้งเดียวก่อนปลูกเพื่อให้พื้นที่เรียบ ระบบน้ำดูแลง่าย

 ส่วนทางเดินเข้าเก็บเกี่ยวเตยหอมขึ้นอยู่ตามความสะดวกสบายที่ผู้ปลูกต้องจัดการและวางแผนเอง ตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกและขนาดพื้นที่

 ก่อนปลูกต้องเปิดน้ำเข้าแปลงประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นเตรียมต้นพันธุ์เตยหอมที่แข็งแรงที่มีรากปักลงในแปลง

 โดยทำเหมือนการดำนา จากนั้นดูแลระบบถ่ายเทน้ำดูแลไม่ให้ต้นที่ปักดำลอยขึ้นมา ทิ้งไว้ 3 เดือน จึงเพิ่มปริมาณน้ำขึ้น หลังจากปลูก 6 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวได้

 การเก็บเกี่ยวใช้มีดตัดยอด อย่าเสียดายยอด การตัดยอด 1 ยอด ทำให้เกิดยอดใหม่มากมาย โดยเฉลี่ยตัดไป 1 ยอด จะได้ยอดใหม่ 3-5 ยอด 

 ทั้งนี้ การดูแลบำรุงรักษาต้นเตยหอมนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงแต่เกษตรกรจำเป็นต้องเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ มีการปรับพื้นที่ให้โล่ง

 ไม่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมต้นเตยหอม เพราะจะทำให้ใบเตยหอม หรือต้นเจริญเติบโตช้า และใบไม่สวย ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก บำรุงต้น และใบบ้าง เพื่อให้ต้นเตยหอม มีความอุดมสมบูรณ์

สำหรับใบเตยหอม ที่ส่งขายไปยังท้องตลาด ก็สามารถจะนำไปประกอบอาหารคาว หวาน ได้ตามความต้องการ

 นอกจากนี้ก็ยังไปประกอบร่วมกับดอกไม้ในการไหว้พระ ซึ่งในตลาดมีความต้องการใบเตยหอมเป็นอย่างมาก

Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2013/07/blog-post_6545.html

เพาะถั่วงอกคอนโดขาย พื้นที่จำกัดก็ทำเป็นอาชีพได้!!

เพาะถั่วงอกคอนโดขาย พื้นที่จำกัดก็ทำเป็นอาชีพได้!!



หากถามว่า ผักอะไรเอ่ย? ที่ใช้เวลาในเวลาการเพาะปลูกน้อยที่สุด หลายๆคนคงตอบได้อย่างทันทีเลยว่า"ถั่วงอก" วันนี้เหมียววดีจะมาแนะนำอาชีพเสริมจากการเกษตรแบบง่ายๆที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกขาย" ถั่วงอกเกิดจากการเพาะเมล็ดถั่ว

 ซึ่งสามารถเพาะได้จากถั่วหลายชนิด แต่เมล็ดถั่วเขียวจะเป็นที่นิยมที่สุด ถั่วงอกถือว่าเป็นผักที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงทั้งโปรตีนและเกลือแร่ เวลาที่ใช้ในการเพาะถั่วงอกนั้นก็แสนสั้นใช้เวลาเพียง 3-4 วัน 

และที่สำคัญถั่วงอกเป็นผักที่ยังมีความต้องการในตลาดสูง เพราะในการปรุงอาหารทั้งไทย จีน อาหารพื้นบ้าน อาหารเจและมังสวิรัต ก็ยังใช้ถั่วงอกเป็นส่วนประกอบหรือเป็นเครื่องเคียง

 การเพาะถั่วงอกเพื่อขายนั้น จึงถือว่าเป็นธุรกิจทำเงินที่น่าสนใจและยังคงมาแรงถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เหมียววดีจึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงวิธีทำเงินจากการเพาะถั่วงอกเพื่อขายไว้เป็นทางเลือกของอาชีพเสริมกันค่ะ

วิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย
การเพราะถั่วงอก มีหลากหลายวิธี เช่น เพาะในทราย เพาะในขวดน้ำ หรือเพาะในหม้อดิน และอีกหลายวิธี แต่วันนี้ เหมียววดี มีวิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย ที่เหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด

 แต่จะได้ปริมาณถั่วงอกที่มาก ด้วยวิธีการง่ายๆเหมาะผู้เริ่มต้นกับการเกษตรเชิงสร้างสรรค์ นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกคอนโด" เราไปดูกันเลยค่ะว่ามีอุปกรณ์อะไรและมีวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดอย่างไร

อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเพาะถั่วงอกคอนโด
1. ถังขนาด 30 ลิตร มีฝาปิดและทึบแสง นำมาเจาะรูที่ก้นถังให้ทั่วเพื่อระบายน้ำที่รดถั่วงอก

2. ผ้ากระสอบ ตัดเป็นวงกลมเท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 7 ผืน

3. ตะแกรงปิ้งปลา ให้นำมาดัดขาให้สูง 1 นิ้ว จะใช้วางที่ก้นถัง เพื่อให้ถั่วงอกคอนโดชั้นแรกหยั่งรากได้

4. ตะแกรงไนล่อน หรือตาข่ายพลาสติก ต้องมีรูเล็กกว่าเมล็ดถั่ว นำมาตัดเป็นวงกลมให้เท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 5 ใบ

5. เมล็ดถั่วเขียว ครึ่งกิโลกรัม นำมาคัดเมล็ดลีบเสียทิ้งไป แล้วแช่เมล็ดถั่วในน้ำอุ่น อัตราส่วน น้ำร้อน:น้ำเย็น 1:1 นาน 4 ชั่วโมง ถ้าแช่ในน้ำธรรมดา นาน 8 ชั่วโมง เมื่อครบชั่วโมงให้นำมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นไปเริ่มวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดกันเลยค่ะ

ขั้นตอนการเพราะถั่วงอกคอนโด
ก่อนอื่นเราต้องลวกอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อนนะคะ จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดได้เลยค่ะ

1. วางตะแกรงปิ้งปลาลงที่ก้นถัง แล้ววางทับด้วยผ้ากระสอบ 1 ผืน วางตะแกรงไนล่อน 1 ใบ ทับบนผ้ากระสอบ

2. วางเมล็ดถั่วส่วนลงบนตะแกรงไนล่อน เกลี่ยให้ทั่วตะแกรง เทคนิคคืออย่าวางเมล็ดถั่วซ้อนกัน ถั่วงอกจะได้งอกสมบูรณ์และอวบน่ารับประทาน

3. ทำเช่นเดียวกันจนครบทั้ง 5 ชั้น ปิดทับถั่วเขียวชั้นบนสุดด้วยผ้ากระสอบ 2 ผืน ใช้ฝักบัวรดน้ำให้ชุ่ม แล้วปิดฝาถัง

4. ใช้ฝักบัวรดน้ำทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ละครั้งให้สังเกตน้ำที่ระบายออกมาจากรูก้นถัง หากยังมีอุณหภูมิสูง ให้รดน้ำต่อไปจนกระทั่งน้ำมีอุณหภูมิปกติ ทำเช่นนี้ 2 คืน 3 วัน

5. เมื่อครบ 3 วัน ให้เตรียมกะละมังใส่น้ำ ยกแผงของถั่วงอกออกมาจากถัง แล้วจะเห็นว่าต้นถั่วงอกจะอยู่ด้านบนของตะแกรงไนล่อนค่ะ ส่วนรากถั่วงอกจะทะลุผ่านผ้ากระสอบ ให้ใช้มีดปาดที่โคนต้นถั่วงอกด้านที่ติดกับตะแกรงไนล่อนลงสู่กะละมัง ล้างถั่วงอกที่ตัดรากแล้วให้สะอาด ถั่วงอกก็พร้อมที่จะนำไปบรรจุถุงเพื่อเตรียมจำหน่ายต่อไป เป็นอันเสร็จขึ้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดแล้วค่ะ

ช่องทางการขาย
ช่องทางทำเงินจากการขายถั่วงอกคอนโดนั้น มีทั้งในตลาดขนาดเล็ก เช่น ตลาดในหมู่บ้าน ในชุมชน หรือถ้าทำเป็นธุรกิจหลัก ก็สามารถติดต่อกับตลาดค้าส่งผักได้อีกด้วย ถั่วงอกคอนโดยังสามารถทำกลยุทธ์ทางการตลาดได้ ด้วยการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม แล้วพิมพ์ข้างถุงได้เลยค่ะว่าเป็นถั่วงอกคอนโดปลอดสารเคมี อุปกรณ์ที่เราใช้ในการเพาะถั่วงอกครั้งแรกทั้งหมดก็สามารถใช้ซ้ำและมีอายุยาวนาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการเก็บรักษา จึงถือว่าประหยัดต้นทุนมากค่ะ

สรุป
การเพาะถั่วงอกคอนโดนั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วยค่ะ เพราะไม่ได้ใช้สารเคมีใดๆในการเพาะปลูกเลย สบายใจทั้งผู้ผลิตและผู้รับประทาน

 การลงทุนก็เป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว ซื้ออุปกรณ์ในช่วงเริ่มแรก จากนั้นก็สามารถใช้อุปกรณ์เดิมในการเพาะถั่วงอกได้ในครั้งต่อๆไป ทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากเลยค่ะ

 หรือจะเพราะถั่วงอกเพื่อกินเองในครอบครัว ก็ยิ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย มีเงินเหลือเก็บเหลือออมไว้ลงทุนด้านอื่นๆ ยังไงเพื่อนๆก็ลองพิจารณาการเพาะถั่วงอกคอนโดเพื่อขายเผื่อไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอาชีพเสริมกันดูนะคะ

จาก careermakemoney.blogspot.com

http://www.farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=02147

Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2015/04/blog-post_43.html

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Positive Thinking เพื่อการปรับมุมมอง >>หรือกรอบของความคิด!!

>>เป็นการคิดในมุมมองที่เราไม่เคยมอง เป็นมุมที่จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น

 การคิดบวกสามารถใช้ในการแทนที่ความคิดลบหรือความคิดที่บิดเบือนต่างๆได้

 เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นส่วนประกอบของการรักษาโรคทางจิตเวชแทบทุกโรค



จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า..

 การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป 



 หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า..

 การคิดบวกเป็นเรื่องของคนโลกสวยหรือมองความจริงเพียงด้านเดียวโดยไม่ยอมสนใจมุมที่เป็นด้านลบ

 แต่จริงๆแล้วการคิดบวกเป็นการ (พยายาม) ปรับมุมมองหรือกรอบของความคิด



  โดยไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเองว่าเรา "ไม่มีปัญหา" แต่เพื่อให้เรา "มีแรงพอ" ที่จะสู้กับปัญหา

 เป็นการมองปัญหานั้นในมุมใหม่ๆ เช่น มองว่าปัญหา"แม้จะยาก แต่ก็สามารถแก้ได้หากมีความพยายามและวิธีการที่ดีพอ" หรือเลือกที่จะมองปัญหาว่าเป็น "โอกาส"

 ในการเรียนรู้หรือเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต การคิดบวกจึงเป็นการคิดในทางที่ไม่ต้องเครียดมากนัก















และสไดล์ชุดนี้ก็เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราสามารถฝึกเป็นคนคิดบวกได้ครับ :)

ปล. เทคนิคการคิดบวกอาจไม่สามารถนำมาใช้กับทุกๆ บริบทของชีวิต (ในการแข่งขัน การค้าขาย การตลาด สงคราม)

 การเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาจึงนับเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิต
.
By...คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา

www.facebook.com/D2JED

Link : http://tinyurl.com/qzxfjel

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สูตรล้างไขมันสะสมในลำไส้ ล้างพิษในลำไส้ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น!!!

สูตรล้างไขมันสะสมในลำไส้ ล้างพิษในลำไส้ ลำไส้สะอาด สุขภาพดีขึ้น!


สุขภาพร่างการเราเป็นเรื่องสำคัญ อย่าละเลยที่จะดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง 

โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมากจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั่นปัสสวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย

หน้าห้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างรายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร

 นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด

 และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาาแนะให้ทำกันค่ะ

สูตรลดหน้าท้องนี้ จะช่วยปรับสมดูลร่างกาย และควบคุณน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน

 สามารถนำวิธีนี้ไปทำดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้

-นมสดรสจืด หรือ โยเกิร์ตรไขมันต่ำ ครึ่งถ้วย

-น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่อยากให้หวานมากก็ลดลงเหลือ 3/4 ช้อนค่ะ)

-มะนาวสด 1 ลูก

 น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน

 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต

นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล ควรรางทิ้งไว้ 15-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะเห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก

 ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพราะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ

 แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำไว้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันนะคะ

ที่มา http://www.lovenayou.com/4323/

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พบแม่เฒ่า 5 แผ่นดิน อายุกว่า 111 ปี >>>เผยเคล็ดลับ!! อยากอายุยืนต้องทำแบบนี้!!!

ที่บ้านปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ที่บ้านหลังหนึ่งอยู่ติดกับเขาบรรทัด อากาศดี ธรรมชาติสวยงาม ร่มรื่นไปด้วยป่าเขาและสายน้ำ มีผลไม้นานาชนิด.



 พบคุณแม่ท่านหนึ่งเป็นหญิงอายุ 111 ปี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังสุขภาพแข็งแรง ความจำดี

คุณแม่แดง หนูสังข์ อายุ 111 ปี ดูตามบัตรประจำตัวประชาชนเกิดเมื่อปี พ.ศ.2447 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุคคลที่อยู่มา 5 แผ่นดิน 

โดยในบ้านอยู่รวมกับลูกสาว คือนางยศ นุ่นขาว อายุ 88 ปี และมีหลาน ๆ อายุ 60 ปี แล้ว

นอกจากนั้นยังมีทายาทอีก 5 รุ่น ลูก หลาน เหลน หลิน โหลน กว่า 200 คน อยู่ใน 2 หมู่บ้าน โดยมีสายคลองกั้นกลางแยกเป็น 2 หมู่บ้านเขาหลัก ตะวันออกและตะวันตก

หลานเล่าให้ฟังว่า  ทวดแดงจะทานข้าวซ้อมมือพร้อมกับอาหารประเภทต้ม คือต้มปลา ต้มหมู ผัดผัก ปลาทอด ชอบรับประทานผลไม้ทุกชนิดโดยเฉพาะทุเรียน และชอบออกกำลังกาย 

ช่วงอายุ 80-90 ปี คือ ทำสวนยางพารา ปลูกข้าวไร่ ปลูกผลไม้ หาปลา ทำงานด้านการเกษตรมาตลอด แต่มาระยะหลังอายุ 90 ปีมานี้หยุดทำงาน แต่ไม่มีโรคประจำตัว ชอบนอนพักผ่อนคือนอนเต็มอิ่ม ชอบไปทำบุญที่วัด

มาระยะหลังไม่ไปแล้วเพราะแก่มากลูกหลานไม่ยอมให้ไป คุณทวดแดงช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน

คุณทวดแดงเป็นคนอารมณ์ดี มีลูกหลานแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอด สมัยตอนยังสาวชอบปลูกพืชผักไว้บริเวณบ้าน ส่วนหนึ่งนำไปขาย อีกส่วนเก็บไว้รับประทานเอง ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้

ข้อมูลจาก http://news.sanook.com/1840811/ , http://www.bigza.com/

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กากหมูอาหารว่างที่ถูกปากใครหลายคน ทำเองได้ง่ายๆ

กากหมูอาหารว่างที่ถูกปากใครหลายคน ด้วยความกรุบกรอบของกากหมูทำให้กินเท่าไหร่ก็เพลินจนวางมือไม่ลง

 แต่ในบางครั้งเวลาซื้อกินมักเจอกับปัญหากากหมูเหม็นหืน จึงทำให้เสียรสชาติในการกิน ฉะนั้นในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อย


วิธีการทำ
1.นำหนังหมูติดมันหั่นเป็นชิ้นๆเยอะหรือน้อยก็แล้วแต่ต้องการ

2. นำน้ำส้มสายชูเทลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ไม่ต้องเยอะมาก (หากใช้หนังหมูประมาณ 2 กิโลกรัม ให้ใช้น้ำส้มสายชู 3/4 ช้อนโต๊ะ)

3. จากนั้นนำหนังหมูเทใส่กระทะที่ตั้งไฟ โดยเลือกใช้ไฟปานกลาง

4. ควรหมั่นคน หมูกรอบของคุณจะได้สุกและเหลืองเท่าๆ กัน

5. ทำการเจียวจนน้ำมันเริ่มออก และให้คุณทำการสังเกตว่า ถ้าหากน้ำมันเริ่มแตกจากหนังหมู(เสียงกระเด็นโพละๆ) ไม่ต้องกลัว ให้นำหนังหมูลงจากเตา

6. ทำการตักกากหมูออกจากน้ำมันขึ้นพักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง

7. นำน้ำมันที่เหลือมาตั้งไฟ โดยใช้ไฟแรงกว่าเดิม รอจนน้ำมันร้อนได้ที่

8. เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว ให้เทหนังหมูเราลงไปทอดอีกครั้ง หมั่นคนเหมือนเดิม หนังหมูจะเริ่มฟูเริ่มพอง

9. เมื่อได้ยินเสียงหนังหมูแตก แล้วก็จะค่อยๆ เริ่มเหลืองขึ้นๆ พอเหลืองสวยก็เป็นอันเสร็จ 

10. จากนั้นตักออกจากน้ำมันขึ้นพักให้เย็น ทานคู่กับน้ำพริก, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยวหรือจะทานเล่นก็ยังได้

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว น้ำลายสอกันเลยใช่ไหมละ แถมได้ทราบถึงสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อย่ารอช้าเข้าครัวไปทำกันเถอะ

ขอบคุณข้อมูล http://www.thaijobsgov.com/jobs/79374