วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559
กระจ่างซะที!! เผยความลับ "ซักผ้าขาว" ของร้านซักรีด ให้ผ้าเก่ากลับมาเป็นผ้าใหม่ ผลที่ได้ประหยัดเงินสุดๆ แชร์เก็บไว้เลย!?
คงไม่มีใครอยากจะใส่เสื้อนักเรียนที่มีคราบเหลือง ๆ หรือขาวแบบหม่นไปโรงเรียนแน่ๆ เลยงอแงขอเสื้อตัวใหม่กันใหญ่ เอาเป็นว่าพ่อ-แม่ที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็สามารถทำตามคำขอของลูก ๆ ได้ง่าย ๆ
เพียงแค่นำสูตรซักเสื้อขาวเหล่านี้ไปซักชุดนักเรียนตัวเก่าให้ลูก ๆ นำไปใส่ในวันเปิดเทอม รับรองว่าเสื้อนักเรียนที่เคยมีคราบหรือดูหมอง ๆ จะกลับมาขาววิ้งเหมือนใหม่ ลูกใส่แล้วไม่อายเพื่อนที่โรงเรียนแน่นอน
วิธีการซักผ้าขาว
1. สูตรน้ำมะนาว
รสชาติเปรี้ยวเข็ดฟันของน้ำมะนาวนี่แหละ คือตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้ผ้าขาวกลับมาขาวสดใสได้อีกครั้ง โดยการผสมน้ำมะนาว ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก แล้วนำเสื้อมาแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือ 1 คืนก่อนนำไปซักตามวิธีปกติอีกครั้ง
2. สูตรน้ำส้มสายชู
สูตรนี้ให้ทำหลังจากซักเสร็จแล้ว โดยให้นำเสื้อมาซักน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวงผสมน้ำเปล่าอีกครั้ง ก่อนนำไปตากให้โดนแดด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผ้าขาวกลับมาใหม่และทำลายคราบหมองจนเกลี้ยง
3. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
หากผ้าขาวมีคราบเลอะจนทำให้เกิดคราบหมอง ให้ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ½ ถ้วยตวง กับเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง และน้ำเปล่าอีก 1 ถ้วยตวง เพื่อนำมาซักกับผ้าขาวแทนการใช้ซักผงฟอกตามปกติ
4. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กันน้ำยาล้างจาน
อีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ในการกำจัดคราบที่เป็นสาเหตุทำให้ผ้าขาวหม่นหมอง ด้วยการผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 2 ส่วนต่อน้ำยาล้างจาน 1 ส่วน เทลงบนคราบ แล้วขยี้จนกว่าคราบจะหายไป ก่อนนำไปซักตามปกติอีกครั้ง
5. สูตรสารฟอกขาว
นำสารฟอกขาวชนิด คลอรีน บลีช (Chlorine bleach) มาผสมกับน้ำเปล่าตามขั้นตอนที่ฉลากกำกับไว้ แล้วแช่ผ้าขาวทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนนำไปซักคราบออกให้เกลี้ยงเกลา
6. สูตรแอมโมเนีย
แอมโมเนียช่วยให้ผ้าขาวคุณขาวสะอาดได้เหมือนกัน โดยการผสมแอมโมเนียมาผสมกับน้ำเปล่าให้เจือจาง แล้วนำไปซักผ้าขาวพร้อมผงซักฟอก แต่มีข้อแม้ว่าอย่าผสมแอมโมเนียกับผงซักฟอกโดยตรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เนื้อผ้าเสียหายได้
7. สูตรกรดซาลิก
หากผ้าขาวสะอาดเลอะคราบสนิมเหล็ก กำจัดคราบออกได้ โดยผสมกรดซาลิกประมาณ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง ป้ายส่วนผสมที่ได้ลงบนคราบแล้วขยี้ แต่ถ้ายังมีคราบสีหลงเหลืออยู่ แนะนำให้ซักด้วยแอมโมเนียซ้ำอีกครั้ง แต่วิธีนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกรดซาลิกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้
8. สูตรเบกกิ้งโซดา
นอกจากเบกกิ้งโซดาจะช่วยทำความสะอาดบ้านได้แล้ว ยังทำให้ผ้าขาวเหมือนใหม่ได้อีกด้วย โดยการเทเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนนำผ้าขาวมาซักทำความสะอาดตามปกติ ผ้าขาวของคุณก็จะขาวสะอาดเหมือนใหม่เลยล่ะ
9. สูตรบอแรกซ์และน้ำส้มสายชู
สูตรนี้เรียกได้ว่าช่วยเพิ่มพลังกำจัดคราบได้อีกทางหนึ่ง เริ่มจากผสมบอแรกซ์ ½ ถ้วยตวงเข้ากับน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง เทผสมลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนซักผ้าขาวตามปกติ
10. สูตรน้ำซาวข้าว
รู้หรือไม่ว่าน้ำซาวข้าวที่เราเททิ้งนั้นมีประโยชน์มาก เพราะมันสามารถซักผ้าขาวของเราให้ขาวสะอาดได้ด้วยนะ โดยนำผ้าขาวไปซักแล้วแช่ไว้ในน้ำซาวข้าวผสมน้ำเปล่าประมาณ 2-3 นาที แล้วค่อยนำผ้าขาวมาซักอีกครั้ง
แม้ผ้าขาวของคุณจะหม่นหมองหรือเลอะคราบเปื้อนแค่ไหน สูตรซักผ้าขาวเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผ้าขาวของคุณกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ไม่ต้องเสียเงินซื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สิ้นเปลืองเลย
Cr.http://www.siamvariety.com/view-13624.html
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559
หมออินเดีย....ดีมากๆ รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด!
หมออินเดีย....ดีมากๆ
เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา แม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้ฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง
ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง
ซึ่งคุณหมอจะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูดอันดับหนึ่งในรัฐคาน คุณหมอใช้วิธีรักษา แบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมาประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้”
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษ ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. ยารักษาโรค (ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ )
2. อาหารเสริม
3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกาย ต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหาร ที่เรากินเข้าไป ให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ
1.ทางลมหายใจ
2.ทางเหงื่อ
3.ทางปัสสาวะ
4.ทางอุจจาระ
5.ทางประจำเดือน
และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก
แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้
ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน
เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10 - 15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ
น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวก! เราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “ อ้อย ” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ ใช่ ” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำ และไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคน เลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “ เคย ” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้
คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว ( นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมอ) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาว และแข็งแรงอยู่เลย
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือเปล่า ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือเปล่าล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย ” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือเปล่ากินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือ เปล่าล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัว และนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ”
และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง, ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และ มีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ขอคำปรึกษาได้
วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้า และหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับ และปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน
การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟันประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้า และร่างกาย หลังจากนั้นให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิว ประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลา ที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
การรับประทานอาหารที่ดี คือ ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง
วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้อง และดีต่อการคลอด
โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, ของทอด, พวกน้ำมัน, อาหารเผ็ด, แป้งขัดสี, น้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว
โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินกว่านี้)
ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1.ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2.ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหนัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น
โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ
โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้ , ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ
โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น
หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้
ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด ( เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้)
การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผัก และผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.
เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา แม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้ฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง
ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง
ซึ่งคุณหมอจะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูดอันดับหนึ่งในรัฐคาน คุณหมอใช้วิธีรักษา แบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมาประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้”
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษ ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. ยารักษาโรค (ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ )
2. อาหารเสริม
3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกาย ต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหาร ที่เรากินเข้าไป ให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ
1.ทางลมหายใจ
2.ทางเหงื่อ
3.ทางปัสสาวะ
4.ทางอุจจาระ
5.ทางประจำเดือน
และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก
แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้
ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน
เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10 - 15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ
น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวก! เราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “ อ้อย ” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ ใช่ ” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำ และไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคน เลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “ เคย ” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้
คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว ( นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมอ) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาว และแข็งแรงอยู่เลย
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือเปล่า ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือเปล่าล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย ” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือเปล่ากินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือ เปล่าล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัว และนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ”
และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง, ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และ มีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ขอคำปรึกษาได้
วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้า และหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับ และปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน
การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟันประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้า และร่างกาย หลังจากนั้นให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิว ประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลา ที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
การรับประทานอาหารที่ดี คือ ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง
วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้อง และดีต่อการคลอด
โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, ของทอด, พวกน้ำมัน, อาหารเผ็ด, แป้งขัดสี, น้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว
โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินกว่านี้)
ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1.ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2.ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหนัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น
โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ
โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้ , ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ
โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น
หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้
ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด ( เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้)
การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผัก และผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
สาวแบงก์ฝันอยากเป็นชาวนา!! ปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต!!
สาวแบงก์ฝันอยากเป็นชาวนา!! ปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต บริโภคในครัวเรือนได้ตลอดปี
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีพนักงานสถาบันการเงินในกรุงเทพฯ มาปลูกบ้านอยู่บ้านเลขที่ 16 หมู่ 12 ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตเพื่อเก็บไว้บริโภคภายในครัวเรือนลดรายจ่าย
จึงเดินทางไปพบ นางปองกานต์ เนตรน้อย อายุ 46 ปี พร้อมกับ นายธนยศ เนตรน้อย อายุ 47 ปี สามี กำลังช่วยกันเติมน้ำและเก็บต้นวัชพืชในบ่อคอนกรีตทรงกลม ภายในปลูกข้าวจนต้นสูงชูช่อออกรวงสีทองสวยงาม
นางปองกานต์ เปิดเผยว่า พื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวเป็นชาวนาที่ปลูกข้าวไว้กินและขายให้กับโรงสี แต่ด้วยทางบ้านต้องการให้มีการศึกษาที่ดี ไม่ต้องมาก้มหน้าทำนาด้วยความยากลำบาก
จึงส่งตนเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จนกระทั่งเติบโตและมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นพนักงานในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่การใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่มีความเร่งรีบ ภาวะความกดดันสูง รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีแต่สารพิษ
ทำให้ตนและคนในครอบครัวหันกลับมามองชีวิตว่าต้องการอะไร จนค้นพบว่าการมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากนั่นคือคำตอบ
จากนั้นจึงกลับมาปลูกบ้านพักบนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ แล้วทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งปลูกมะนาว พริก มะละกอ รอบบริเวณบ้าน ขุดบ่อกักเก็บน้ำและใช้เวลาวันหยุดมาดูแล
“หลังจากที่ชาวนาต้องประสบปัญหาภัยแล้ง ไม่สามารถปลูกข้าวได้ แต่ราคาข้าวที่ชาวนาขายได้กลับตกต่ำ
ในขณะที่ผู้บริโภคต้องซื้อข้าวขาวในราคาสูง แล้วทำไมเราไม่ลองปลูกข้าวไว้กินเองในครัวเรือนบ้างซึ่งนอกจากช่วยลดรายจ่ายแล้ว ยังสามารถกำหนดคุณภาพข้าวได้เอง
จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการปลูกข้าว จึงตัดสินใจทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.20 เมตร จำนวน 72 บ่อ โดยใช้พันธุ์ข้าวหอมมะลิจากบุรีรัมย์” นางปองกานต์ เผย
นางปองกานต์กล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนในการปลุกไม่ยุ่งยาก เริ่มจากการเพาะต้นกล้าให้ได้อายุ นำลงปลูกในบ่อคอนกรีตที่เตรียมดินผสมปุ๋ยคอก
ซึ่งใช้ต้นกล้าข้าวประมาณ 20 ต้นต่อ 1 บ่อ หรือดูที่ความเหมาะสมไม่ให้หนาแน่นเกินไปเมื่อต้นข้าวแตกกอในอนาคต
ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มปลูกจะต้องหมั่นใส่น้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงข้าวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งข้าวออกรวงและสามารถเก็บเกี่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน โดยข้าว 1 บ่อ ให้ผลผลิตข้าวขาว 1 กิโลกรัม
การปลูกแต่ละครั้งจะได้ข้าวขาวประมาณ 72 กิโลกรัม ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคตลอดทั้งปีของครอบครัว
ทั้งนี้จากการทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต ข้อดี คือความสะดวกและง่ายต่อการกำจัดวัชพืช ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี สามารถควบคุมปริมาณน้ำ
และสารอาหารได้อย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าข้าวมีคุณภาพและปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือน
ที่มา https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_111813
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีพนักงานสถาบันการเงินในกรุงเทพฯ มาปลูกบ้านอยู่บ้านเลขที่ 16 หมู่ 12 ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตเพื่อเก็บไว้บริโภคภายในครัวเรือนลดรายจ่าย
จึงเดินทางไปพบ นางปองกานต์ เนตรน้อย อายุ 46 ปี พร้อมกับ นายธนยศ เนตรน้อย อายุ 47 ปี สามี กำลังช่วยกันเติมน้ำและเก็บต้นวัชพืชในบ่อคอนกรีตทรงกลม ภายในปลูกข้าวจนต้นสูงชูช่อออกรวงสีทองสวยงาม
นางปองกานต์ เปิดเผยว่า พื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวเป็นชาวนาที่ปลูกข้าวไว้กินและขายให้กับโรงสี แต่ด้วยทางบ้านต้องการให้มีการศึกษาที่ดี ไม่ต้องมาก้มหน้าทำนาด้วยความยากลำบาก
จึงส่งตนเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จนกระทั่งเติบโตและมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นพนักงานในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่การใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่มีความเร่งรีบ ภาวะความกดดันสูง รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีแต่สารพิษ
ทำให้ตนและคนในครอบครัวหันกลับมามองชีวิตว่าต้องการอะไร จนค้นพบว่าการมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากนั่นคือคำตอบ
จากนั้นจึงกลับมาปลูกบ้านพักบนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ แล้วทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งปลูกมะนาว พริก มะละกอ รอบบริเวณบ้าน ขุดบ่อกักเก็บน้ำและใช้เวลาวันหยุดมาดูแล
“หลังจากที่ชาวนาต้องประสบปัญหาภัยแล้ง ไม่สามารถปลูกข้าวได้ แต่ราคาข้าวที่ชาวนาขายได้กลับตกต่ำ
ในขณะที่ผู้บริโภคต้องซื้อข้าวขาวในราคาสูง แล้วทำไมเราไม่ลองปลูกข้าวไว้กินเองในครัวเรือนบ้างซึ่งนอกจากช่วยลดรายจ่ายแล้ว ยังสามารถกำหนดคุณภาพข้าวได้เอง
จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการปลูกข้าว จึงตัดสินใจทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีตทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.20 เมตร จำนวน 72 บ่อ โดยใช้พันธุ์ข้าวหอมมะลิจากบุรีรัมย์” นางปองกานต์ เผย
นางปองกานต์กล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนในการปลุกไม่ยุ่งยาก เริ่มจากการเพาะต้นกล้าให้ได้อายุ นำลงปลูกในบ่อคอนกรีตที่เตรียมดินผสมปุ๋ยคอก
ซึ่งใช้ต้นกล้าข้าวประมาณ 20 ต้นต่อ 1 บ่อ หรือดูที่ความเหมาะสมไม่ให้หนาแน่นเกินไปเมื่อต้นข้าวแตกกอในอนาคต
ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มปลูกจะต้องหมั่นใส่น้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงข้าวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งข้าวออกรวงและสามารถเก็บเกี่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน โดยข้าว 1 บ่อ ให้ผลผลิตข้าวขาว 1 กิโลกรัม
การปลูกแต่ละครั้งจะได้ข้าวขาวประมาณ 72 กิโลกรัม ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคตลอดทั้งปีของครอบครัว
ทั้งนี้จากการทดลองปลูกข้าวในบ่อคอนกรีต ข้อดี คือความสะดวกและง่ายต่อการกำจัดวัชพืช ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี สามารถควบคุมปริมาณน้ำ
และสารอาหารได้อย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ว่าข้าวมีคุณภาพและปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือน
ที่มา https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_111813
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
" เทคนิค ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด"
" เทคนิค ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด"
เคยได้ยินมาว่า ปลูกต้นผักหวานป่าให้รอดนั้นไม่ง่าย แต่ถ้ารอดแล้วก็อยู่ยาวเป็น10 ปีเลยทีเดียว
ว่าแล้ว...ก็ลองปลูกต้นผักหวานป่าบ้างดีกว่า อยากรู้ว่ามันจะยากเหมือนที่เคยได้ยินมามั้ย...
เราเริ่มต้นปลูกผักหวานป่า จำนวนทั้งหมด 100 ต้น กะว่าเหลือซัก 50 ต้น ก็นับว่าใช้ได้แล้วสำหรับเรา. แต่...ผลปรากฏว่าเกินความคาดหมาย คือ ตายไปแค่ 8 ต้น,เหลือรอด 92 ต้น... รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยโมเมเอาเองว่า วิธีนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น " เทคนิคอย่างหนี่งที่ปลูกต้นผักหวานป่า ให้รอดตาย "ได้เช่นกัน.
ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์นี้แก่เพื่อนๆที่คิดจะปลูกผักหวานป่า ลองทำแบบเราดู แล้วท่านจะพบว่าไม่ยากอย่างที่คิด...
" เทคนิคปลูกต้นผักหวานป่า แบบสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคู " มีดังนี้...
1. เลือกใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดมาปลูก จะให้ผลผลิตดีและอายุยืนกว่า แบบกิ่งตอน
2. ปลูกพืชพี่เลี้ยงไว้ก่อนที่จะปลูกต้นผักหวานป่า เช่น ต้นมะขามเทศ,ชะอม,,โสน,กระถิน,ต้นแค ฯลฯ พืชที่กล่าวมานี้จัดเป็นพืชตระกูลถั่วทั้งหมด เลือกปลูกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะหลายอย่างก็ได้... สำหรับเราเลือกใช้ต้นแค ซึ่งปลูกไปพร้อมๆกับต้นผักหวาน และต้นมะขามเทศ (ต้นมะขามเทศนี่ ปลูกล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว) เป็นพืชพี่เลี้ยง
3.เลือกทิศทางที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพของแสงแดด ต้นผักหวานป่านั้นไม่ชอบแดด ชอบอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ มีแสงรำไร
4.ระยะห่าง ระหว่างต้นและระหว่างแถว ~ 2 x 2 เมตร
5.ขุดหลุมปลูก กว้าง และ ลึก เท่ากับขนาดของถุงต้นพันธ์ุ แล้วผสมปุ๋ยคอก( 2-3 กำมือ/ต้น) กับดิน ใส่รองก้นหลุมไว้
.... หรือจะเจาะรูก้นตะกร้าแบบนี้ก็ได้เพื่อเป็นการปกป้องลมและแสงแดดได้อีกระดับหนึ่ง เพราะ ต้นผ้กหวานอายุ 6เดือนนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก
8.ให้น้ำ 1 ครั้ง /สป. หรือ ดูตามสภาพอากาศ ,ส่วนปุ๋ยคอกให้เดือนละ 1 ครั้ง -ทางดิน และให้น้ำขี้หมู 1 ครั้ง/สป.-ทางใบ ด้วยจะดีมาก
จากผลการทดลองปลูกผักหวานป่าของเราพบว่า ....
1) ต้นผักหวานที่่ตายไป 8 ต้นนั้นเกิดจากรากหักตอนแกะถุงปลูก... ข้อเสนอแนะ ควรซื้อต้นพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มาปลูกคือเริ่มมีใบ 3-4 ใบก็พอเพราะรากแก้วยังไม่ยาวมากเหมือนต้นที่โตๆ ทำให้เวลาแกะถุงปลูกรากไม่ขาด
2) ต้นผักหวานเจริญเติบโตช้ามากในช่วงแรก เพราะเนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่าต้นผักหวานป่า ไม่ชอบน้ำ ชอบแบบแล้งๆไม่จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ก็ได้...
ข้อเสนอแนะ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ต้นผักหวานป่านั้น ถึงแม้จะทนแล้งได้ดี แต่ถ้าเราดูแลเหมือนปลูกพืชทั่วๆไป แค่นี้ต้นผักหวานก็จะเจริญเติบโตได้ดีกว่านี้แน่นอน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคการปลูกและการดูแลผักหวานป่าแบบที่ไม่ยากเลย...สำหรับวิธีการปลูกแบบนี้ได้รับการชี้แนะมาจากคุณลุงคนขายต้นพันธุ์ผักหวานป่า ทางสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคูต้องขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย ...
...ติดตาม " การเจริญเติบโต ต้นผ้กหวานป่า " ของเรา ได้ที่นี่ : คลิกที่นี่
http://baansunkoo-organic.over-blog.com/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.html
Cr. http://www.lovenayou.com/5686/
เคยได้ยินมาว่า ปลูกต้นผักหวานป่าให้รอดนั้นไม่ง่าย แต่ถ้ารอดแล้วก็อยู่ยาวเป็น10 ปีเลยทีเดียว
ว่าแล้ว...ก็ลองปลูกต้นผักหวานป่าบ้างดีกว่า อยากรู้ว่ามันจะยากเหมือนที่เคยได้ยินมามั้ย...
เราเริ่มต้นปลูกผักหวานป่า จำนวนทั้งหมด 100 ต้น กะว่าเหลือซัก 50 ต้น ก็นับว่าใช้ได้แล้วสำหรับเรา. แต่...ผลปรากฏว่าเกินความคาดหมาย คือ ตายไปแค่ 8 ต้น,เหลือรอด 92 ต้น... รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยโมเมเอาเองว่า วิธีนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น " เทคนิคอย่างหนี่งที่ปลูกต้นผักหวานป่า ให้รอดตาย "ได้เช่นกัน.
ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์นี้แก่เพื่อนๆที่คิดจะปลูกผักหวานป่า ลองทำแบบเราดู แล้วท่านจะพบว่าไม่ยากอย่างที่คิด...
" เทคนิคปลูกต้นผักหวานป่า แบบสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคู " มีดังนี้...
1. เลือกใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดมาปลูก จะให้ผลผลิตดีและอายุยืนกว่า แบบกิ่งตอน
2. ปลูกพืชพี่เลี้ยงไว้ก่อนที่จะปลูกต้นผักหวานป่า เช่น ต้นมะขามเทศ,ชะอม,,โสน,กระถิน,ต้นแค ฯลฯ พืชที่กล่าวมานี้จัดเป็นพืชตระกูลถั่วทั้งหมด เลือกปลูกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะหลายอย่างก็ได้... สำหรับเราเลือกใช้ต้นแค ซึ่งปลูกไปพร้อมๆกับต้นผักหวาน และต้นมะขามเทศ (ต้นมะขามเทศนี่ ปลูกล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว) เป็นพืชพี่เลี้ยง
3.เลือกทิศทางที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพของแสงแดด ต้นผักหวานป่านั้นไม่ชอบแดด ชอบอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ มีแสงรำไร
4.ระยะห่าง ระหว่างต้นและระหว่างแถว ~ 2 x 2 เมตร
5.ขุดหลุมปลูก กว้าง และ ลึก เท่ากับขนาดของถุงต้นพันธ์ุ แล้วผสมปุ๋ยคอก( 2-3 กำมือ/ต้น) กับดิน ใส่รองก้นหลุมไว้
.... หรือจะเจาะรูก้นตะกร้าแบบนี้ก็ได้เพื่อเป็นการปกป้องลมและแสงแดดได้อีกระดับหนึ่ง เพราะ ต้นผ้กหวานอายุ 6เดือนนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก
8.ให้น้ำ 1 ครั้ง /สป. หรือ ดูตามสภาพอากาศ ,ส่วนปุ๋ยคอกให้เดือนละ 1 ครั้ง -ทางดิน และให้น้ำขี้หมู 1 ครั้ง/สป.-ทางใบ ด้วยจะดีมาก
จากผลการทดลองปลูกผักหวานป่าของเราพบว่า ....
1) ต้นผักหวานที่่ตายไป 8 ต้นนั้นเกิดจากรากหักตอนแกะถุงปลูก... ข้อเสนอแนะ ควรซื้อต้นพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มาปลูกคือเริ่มมีใบ 3-4 ใบก็พอเพราะรากแก้วยังไม่ยาวมากเหมือนต้นที่โตๆ ทำให้เวลาแกะถุงปลูกรากไม่ขาด
2) ต้นผักหวานเจริญเติบโตช้ามากในช่วงแรก เพราะเนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่าต้นผักหวานป่า ไม่ชอบน้ำ ชอบแบบแล้งๆไม่จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ก็ได้...
ข้อเสนอแนะ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ต้นผักหวานป่านั้น ถึงแม้จะทนแล้งได้ดี แต่ถ้าเราดูแลเหมือนปลูกพืชทั่วๆไป แค่นี้ต้นผักหวานก็จะเจริญเติบโตได้ดีกว่านี้แน่นอน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคการปลูกและการดูแลผักหวานป่าแบบที่ไม่ยากเลย...สำหรับวิธีการปลูกแบบนี้ได้รับการชี้แนะมาจากคุณลุงคนขายต้นพันธุ์ผักหวานป่า ทางสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคูต้องขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย ...
...ติดตาม " การเจริญเติบโต ต้นผ้กหวานป่า " ของเรา ได้ที่นี่ : คลิกที่นี่
http://baansunkoo-organic.over-blog.com/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.html
Cr. http://www.lovenayou.com/5686/
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!
ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!
ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!
คนแบบนี้ควรดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ !!
1. นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกรือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที นัก กีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อยจนล้า จะสดใสขึ้นทันตาเห็น
2. คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายจะต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย
3. วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำจะทำให้ควมจำดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้เด็ดนัก
4. คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆก็เพราะเลือดน้อยแต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุง และเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็น ปกติ
5. คนเป็นไข้หวัดตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบ เพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ได้ดี และยังมีกรดลอริกที่เป็นยาฆ่าเชื้อ ดื่มแล้ว อาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น
คนที่ต้องเลี่ยงน้ำมะพร้าว เพราะมันเกิดผลลบมากกว่า ..
คนเป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะให้ดีคนที่เป็นโรคนี้ควรระวัง
คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจเราได้ สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ควรลีกเหลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าวค่ะ
ที่มา...lacaverne.info
ดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? ใครควรดื่มและไม่ควรดื่ม!!
คนแบบนี้ควรดื่มน้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพ !!
1. นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกรือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที นัก กีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อยจนล้า จะสดใสขึ้นทันตาเห็น
2. คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายจะต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย
3. วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำจะทำให้ควมจำดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้เด็ดนัก
4. คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆก็เพราะเลือดน้อยแต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุง และเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็น ปกติ
5. คนเป็นไข้หวัดตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบ เพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ได้ดี และยังมีกรดลอริกที่เป็นยาฆ่าเชื้อ ดื่มแล้ว อาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น
คนที่ต้องเลี่ยงน้ำมะพร้าว เพราะมันเกิดผลลบมากกว่า ..
คนเป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะให้ดีคนที่เป็นโรคนี้ควรระวัง
คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจเราได้ สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ควรลีกเหลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าวค่ะ
ที่มา...lacaverne.info
เผย 15 ต้นไม้มงคล ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี!!
เผย 15 ต้นไม้มงคล ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า
15 ต้นไม้มงคล..ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า
การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะประดับเพื่อความสวยงาม ให้ร่มเงาความร่มรื่น หรือนำผลนำดอกมาทาน มาปรุงอาหารก็ได้
ที่สำคัญยังมีต้นไม้บางชนิดที่ตามความเชื่ออย่างไทยโบราณที่บอกต่อกันมาช้านาน
ในเรื่องช่วยเสริมสิริมงคลให้บ้านหลังนั้นและบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชื่นชอบเรื่องต้นไม้ และบ้านไหนที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกไว้ประดับบ้าน เชิญทางนี้ค่ะ
วันนี้เอาใจคนรักต้นไม้ ด้วยข้อมูล 15 ต้นไม้มงคล ..ที่ควรปลูกไว้ในบ้าน มาฝาก ต้นอะไรบ้างนั้นมาดูกันค่ะ
1. ต้นมะยม
ด้วยชื่อ "มะยม" ตามความเชื่อโบราณเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้ายหรือเป็นศัตรูนั่นเอง และหากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันวิญญาณร้าย ภูตผีปีศาจได้ด้วย
2. ต้นกวนอิม
คนไทยให้ความเคารพบูชากันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงินกวนอิมทอง เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้าเชื่อกันว่า เมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล ให้มีฐานะดี มีความร่ำรวยยิ่งขึ้น
3. ต้นกระดังงา
ด้วยชื่อที่เป็นมงคล เชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทอง มีลาภยศ
– ควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว
4. ต้นมะม่วง
นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย
– ควรปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้าน
5. ต้นโกศล
ชื่อโกศล พ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดีช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข โกศล เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก ใบมีสีสันสวยสด ความหมายดี โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด ปลูกเพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใดๆ
– แนะนำให้ปลูกต้นโกศลในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
6. ต้นขนุน
การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้
– การปลูกควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด ผู้ที่ปลูกควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและควรปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี
7. ต้นมะขาม
ปลูกเพื่อต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามน่ายำเกรง และทำให้ผู้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ การทะเลาเบาะแว้ง และวิญญาณภูตผีปีศาจ
– แนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก
8. ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน
ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย เด่นที่ดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามเป็นพวงระย้าสวยงาม เชื่อกันว่าจะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
– ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน
9. ต้นกล้วย
คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันอย่างแพร่หลาย สามารถนำส่วนต่างๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว ทั้งยังมีความเชื่อว่าจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นเอง
– ปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน
10. ต้นไผ่
เป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อว่า กอไผ่จะทำให้คนในครอบครัวเกิดความปรองดอง สามัคคี ไม่แตกแตก รักใคร่กัน และไผ่ยังเป็นต้นไม้ ที่อ่อนตามลม จะทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า "มั่งมีศรีสุข" นั่นเอง และตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ
– ควรปลูกต้นไผ่ไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า
11. ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน
เชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ ถือเป็นดอกไม้เสี่ยงทายหากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย
– ตามตำราแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี
12. ต้นแก้ว
มีจุดเด่นดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจมาก นิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารก็ได้ โดยคำว่า "แก้ว" หมายถึงสิ่งของมีค่าที่คนนับถือบูชา เปรียบได้กับของมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า หากปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มีความเบิกบานใจ และมีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจนั่นเอง
– แนะนำให้ปลูกในวันพุธ และปลูกไว้ทางทิศตะวันออก
13. ต้นเข็ม
ดอกเข็ม ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีไหว้ครู เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดหลักแหลมเปรียบกับเข็มที่แหลมคม และการปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านเชื่อกันว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดได้ดี
– ให้คนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ลงมือปลูก โดยเลือกปลูกทางทิศตะวันออก และปลูกในวันพุธ
14. ต้นบานไม่รู้โรย
ชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยและคู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนานๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
– ควรปลูกในวันพุธ
15. ต้นโป๊ยเซียน
เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ จะทำให้ครอบครัวสงบสุข และเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ
– นิยมให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และควรปลูกในวันพุธ ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลมากที่สุด
สำหรับใครที่อยากจะหาต้นไม้มาปลูกประดับบ้าน ตอนนี้คงพอจะนึกออกแล้วนะคะ ว่าจะเลือกต้นไม้ชนิดไหนมาปลูกดี ถ้าหากต้องการเสริมศิริมงคลตามความเชื่อแบบไทยโบราณ
ลองเลือกต้นไม้ที่เรานำมาฝากกันไปปลูกที่บ้านคัณ คุณจะได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ ให้ร่มเงา ความสวยงามน่าชม แล้วยังเสริมดวง เป็นศิริมงคลอีกด้วย
ข้อมูลจาก http://home.kapook.com/view44266.html
Cr. http://www.share-si.com/2016/11/15.html?m=1
15 ต้นไม้มงคล..ที่ควรปลูกไว้ในบ้านเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมาเลยจ้า
การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะประดับเพื่อความสวยงาม ให้ร่มเงาความร่มรื่น หรือนำผลนำดอกมาทาน มาปรุงอาหารก็ได้
ที่สำคัญยังมีต้นไม้บางชนิดที่ตามความเชื่ออย่างไทยโบราณที่บอกต่อกันมาช้านาน
ในเรื่องช่วยเสริมสิริมงคลให้บ้านหลังนั้นและบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วย ใครที่ชื่นชอบเรื่องต้นไม้ และบ้านไหนที่กำลังมองหาต้นไม้ปลูกไว้ประดับบ้าน เชิญทางนี้ค่ะ
วันนี้เอาใจคนรักต้นไม้ ด้วยข้อมูล 15 ต้นไม้มงคล ..ที่ควรปลูกไว้ในบ้าน มาฝาก ต้นอะไรบ้างนั้นมาดูกันค่ะ
1. ต้นมะยม
ด้วยชื่อ "มะยม" ตามความเชื่อโบราณเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้ายหรือเป็นศัตรูนั่นเอง และหากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันวิญญาณร้าย ภูตผีปีศาจได้ด้วย
2. ต้นกวนอิม
คนไทยให้ความเคารพบูชากันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงินกวนอิมทอง เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้าเชื่อกันว่า เมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล ให้มีฐานะดี มีความร่ำรวยยิ่งขึ้น
3. ต้นกระดังงา
ด้วยชื่อที่เป็นมงคล เชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทอง มีลาภยศ
– ควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว
4. ต้นมะม่วง
นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย
– ควรปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้าน
5. ต้นโกศล
ชื่อโกศล พ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดีช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข โกศล เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก ใบมีสีสันสวยสด ความหมายดี โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด ปลูกเพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใดๆ
– แนะนำให้ปลูกต้นโกศลในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
6. ต้นขนุน
การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้
– การปลูกควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด ผู้ที่ปลูกควรเป็นหัวหน้าครอบครัวและควรปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี
7. ต้นมะขาม
ปลูกเพื่อต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามน่ายำเกรง และทำให้ผู้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ การทะเลาเบาะแว้ง และวิญญาณภูตผีปีศาจ
– แนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก
8. ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน
ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย เด่นที่ดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามเป็นพวงระย้าสวยงาม เชื่อกันว่าจะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
– ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน
9. ต้นกล้วย
คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันอย่างแพร่หลาย สามารถนำส่วนต่างๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว ทั้งยังมีความเชื่อว่าจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นเอง
– ปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน
10. ต้นไผ่
เป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อว่า กอไผ่จะทำให้คนในครอบครัวเกิดความปรองดอง สามัคคี ไม่แตกแตก รักใคร่กัน และไผ่ยังเป็นต้นไม้ ที่อ่อนตามลม จะทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า "มั่งมีศรีสุข" นั่นเอง และตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ
– ควรปลูกต้นไผ่ไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า
11. ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน
เชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ ถือเป็นดอกไม้เสี่ยงทายหากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย
– ตามตำราแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี
12. ต้นแก้ว
มีจุดเด่นดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจมาก นิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารก็ได้ โดยคำว่า "แก้ว" หมายถึงสิ่งของมีค่าที่คนนับถือบูชา เปรียบได้กับของมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า หากปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มีความเบิกบานใจ และมีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจนั่นเอง
– แนะนำให้ปลูกในวันพุธ และปลูกไว้ทางทิศตะวันออก
13. ต้นเข็ม
ดอกเข็ม ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีไหว้ครู เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดหลักแหลมเปรียบกับเข็มที่แหลมคม และการปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านเชื่อกันว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดได้ดี
– ให้คนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ลงมือปลูก โดยเลือกปลูกทางทิศตะวันออก และปลูกในวันพุธ
14. ต้นบานไม่รู้โรย
ชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยและคู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนานๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไป
– ควรปลูกในวันพุธ
15. ต้นโป๊ยเซียน
เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ จะทำให้ครอบครัวสงบสุข และเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ
– นิยมให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และควรปลูกในวันพุธ ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลมากที่สุด
สำหรับใครที่อยากจะหาต้นไม้มาปลูกประดับบ้าน ตอนนี้คงพอจะนึกออกแล้วนะคะ ว่าจะเลือกต้นไม้ชนิดไหนมาปลูกดี ถ้าหากต้องการเสริมศิริมงคลตามความเชื่อแบบไทยโบราณ
ลองเลือกต้นไม้ที่เรานำมาฝากกันไปปลูกที่บ้านคัณ คุณจะได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ ให้ร่มเงา ความสวยงามน่าชม แล้วยังเสริมดวง เป็นศิริมงคลอีกด้วย
ข้อมูลจาก http://home.kapook.com/view44266.html
Cr. http://www.share-si.com/2016/11/15.html?m=1
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วิธีการปลูกใบเตย การปลูกเตยหอม
วิธีการปลูกใบเตย
การปลูกเตยหอมนั้นเราจะต้องมีพื้นที่จะเพาะปลูก ต้องใกล้น้ำค่อนข้างแฉะ มีน้ำหมุนเวียนตลอดปี มีร่มเงารำไรให้ต้นเตยไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือตามร่องสวน ตามชายบ่อน้ำ
ส่วนการปลูกในพื้นนามีการเตรียมดินคล้ายกับการทำนาแต่ทำเพียงครั้งเดียวก่อนปลูกเพื่อให้พื้นที่เรียบ ระบบน้ำดูแลง่าย
ส่วนทางเดินเข้าเก็บเกี่ยวเตยหอมขึ้นอยู่ตามความสะดวกสบายที่ผู้ปลูกต้องจัดการและวางแผนเอง ตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกและขนาดพื้นที่
ก่อนปลูกต้องเปิดน้ำเข้าแปลงประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นเตรียมต้นพันธุ์เตยหอมที่แข็งแรงที่มีรากปักลงในแปลง
โดยทำเหมือนการดำนา จากนั้นดูแลระบบถ่ายเทน้ำดูแลไม่ให้ต้นที่ปักดำลอยขึ้นมา ทิ้งไว้ 3 เดือน จึงเพิ่มปริมาณน้ำขึ้น หลังจากปลูก 6 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวได้
การเก็บเกี่ยวใช้มีดตัดยอด อย่าเสียดายยอด การตัดยอด 1 ยอด ทำให้เกิดยอดใหม่มากมาย โดยเฉลี่ยตัดไป 1 ยอด จะได้ยอดใหม่ 3-5 ยอด
ทั้งนี้ การดูแลบำรุงรักษาต้นเตยหอมนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงแต่เกษตรกรจำเป็นต้องเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ มีการปรับพื้นที่ให้โล่ง
ไม่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมต้นเตยหอม เพราะจะทำให้ใบเตยหอม หรือต้นเจริญเติบโตช้า และใบไม่สวย ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก บำรุงต้น และใบบ้าง เพื่อให้ต้นเตยหอม มีความอุดมสมบูรณ์
สำหรับใบเตยหอม ที่ส่งขายไปยังท้องตลาด ก็สามารถจะนำไปประกอบอาหารคาว หวาน ได้ตามความต้องการ
นอกจากนี้ก็ยังไปประกอบร่วมกับดอกไม้ในการไหว้พระ ซึ่งในตลาดมีความต้องการใบเตยหอมเป็นอย่างมาก
Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2013/07/blog-post_6545.html
การปลูกเตยหอมนั้นเราจะต้องมีพื้นที่จะเพาะปลูก ต้องใกล้น้ำค่อนข้างแฉะ มีน้ำหมุนเวียนตลอดปี มีร่มเงารำไรให้ต้นเตยไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือตามร่องสวน ตามชายบ่อน้ำ
ส่วนการปลูกในพื้นนามีการเตรียมดินคล้ายกับการทำนาแต่ทำเพียงครั้งเดียวก่อนปลูกเพื่อให้พื้นที่เรียบ ระบบน้ำดูแลง่าย
ส่วนทางเดินเข้าเก็บเกี่ยวเตยหอมขึ้นอยู่ตามความสะดวกสบายที่ผู้ปลูกต้องจัดการและวางแผนเอง ตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกและขนาดพื้นที่
ก่อนปลูกต้องเปิดน้ำเข้าแปลงประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นเตรียมต้นพันธุ์เตยหอมที่แข็งแรงที่มีรากปักลงในแปลง
โดยทำเหมือนการดำนา จากนั้นดูแลระบบถ่ายเทน้ำดูแลไม่ให้ต้นที่ปักดำลอยขึ้นมา ทิ้งไว้ 3 เดือน จึงเพิ่มปริมาณน้ำขึ้น หลังจากปลูก 6 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวได้
การเก็บเกี่ยวใช้มีดตัดยอด อย่าเสียดายยอด การตัดยอด 1 ยอด ทำให้เกิดยอดใหม่มากมาย โดยเฉลี่ยตัดไป 1 ยอด จะได้ยอดใหม่ 3-5 ยอด
ทั้งนี้ การดูแลบำรุงรักษาต้นเตยหอมนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงแต่เกษตรกรจำเป็นต้องเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ มีการปรับพื้นที่ให้โล่ง
ไม่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมต้นเตยหอม เพราะจะทำให้ใบเตยหอม หรือต้นเจริญเติบโตช้า และใบไม่สวย ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก บำรุงต้น และใบบ้าง เพื่อให้ต้นเตยหอม มีความอุดมสมบูรณ์
สำหรับใบเตยหอม ที่ส่งขายไปยังท้องตลาด ก็สามารถจะนำไปประกอบอาหารคาว หวาน ได้ตามความต้องการ
นอกจากนี้ก็ยังไปประกอบร่วมกับดอกไม้ในการไหว้พระ ซึ่งในตลาดมีความต้องการใบเตยหอมเป็นอย่างมาก
Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2013/07/blog-post_6545.html
เพาะถั่วงอกคอนโดขาย พื้นที่จำกัดก็ทำเป็นอาชีพได้!!
เพาะถั่วงอกคอนโดขาย พื้นที่จำกัดก็ทำเป็นอาชีพได้!!
หากถามว่า ผักอะไรเอ่ย? ที่ใช้เวลาในเวลาการเพาะปลูกน้อยที่สุด หลายๆคนคงตอบได้อย่างทันทีเลยว่า"ถั่วงอก" วันนี้เหมียววดีจะมาแนะนำอาชีพเสริมจากการเกษตรแบบง่ายๆที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกขาย" ถั่วงอกเกิดจากการเพาะเมล็ดถั่ว
ซึ่งสามารถเพาะได้จากถั่วหลายชนิด แต่เมล็ดถั่วเขียวจะเป็นที่นิยมที่สุด ถั่วงอกถือว่าเป็นผักที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงทั้งโปรตีนและเกลือแร่ เวลาที่ใช้ในการเพาะถั่วงอกนั้นก็แสนสั้นใช้เวลาเพียง 3-4 วัน
และที่สำคัญถั่วงอกเป็นผักที่ยังมีความต้องการในตลาดสูง เพราะในการปรุงอาหารทั้งไทย จีน อาหารพื้นบ้าน อาหารเจและมังสวิรัต ก็ยังใช้ถั่วงอกเป็นส่วนประกอบหรือเป็นเครื่องเคียง
การเพาะถั่วงอกเพื่อขายนั้น จึงถือว่าเป็นธุรกิจทำเงินที่น่าสนใจและยังคงมาแรงถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เหมียววดีจึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงวิธีทำเงินจากการเพาะถั่วงอกเพื่อขายไว้เป็นทางเลือกของอาชีพเสริมกันค่ะ
วิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย
การเพราะถั่วงอก มีหลากหลายวิธี เช่น เพาะในทราย เพาะในขวดน้ำ หรือเพาะในหม้อดิน และอีกหลายวิธี แต่วันนี้ เหมียววดี มีวิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย ที่เหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด
แต่จะได้ปริมาณถั่วงอกที่มาก ด้วยวิธีการง่ายๆเหมาะผู้เริ่มต้นกับการเกษตรเชิงสร้างสรรค์ นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกคอนโด" เราไปดูกันเลยค่ะว่ามีอุปกรณ์อะไรและมีวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดอย่างไร
อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเพาะถั่วงอกคอนโด
1. ถังขนาด 30 ลิตร มีฝาปิดและทึบแสง นำมาเจาะรูที่ก้นถังให้ทั่วเพื่อระบายน้ำที่รดถั่วงอก
2. ผ้ากระสอบ ตัดเป็นวงกลมเท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 7 ผืน
3. ตะแกรงปิ้งปลา ให้นำมาดัดขาให้สูง 1 นิ้ว จะใช้วางที่ก้นถัง เพื่อให้ถั่วงอกคอนโดชั้นแรกหยั่งรากได้
4. ตะแกรงไนล่อน หรือตาข่ายพลาสติก ต้องมีรูเล็กกว่าเมล็ดถั่ว นำมาตัดเป็นวงกลมให้เท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 5 ใบ
5. เมล็ดถั่วเขียว ครึ่งกิโลกรัม นำมาคัดเมล็ดลีบเสียทิ้งไป แล้วแช่เมล็ดถั่วในน้ำอุ่น อัตราส่วน น้ำร้อน:น้ำเย็น 1:1 นาน 4 ชั่วโมง ถ้าแช่ในน้ำธรรมดา นาน 8 ชั่วโมง เมื่อครบชั่วโมงให้นำมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นไปเริ่มวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดกันเลยค่ะ
ขั้นตอนการเพราะถั่วงอกคอนโด
ก่อนอื่นเราต้องลวกอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อนนะคะ จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดได้เลยค่ะ
1. วางตะแกรงปิ้งปลาลงที่ก้นถัง แล้ววางทับด้วยผ้ากระสอบ 1 ผืน วางตะแกรงไนล่อน 1 ใบ ทับบนผ้ากระสอบ
2. วางเมล็ดถั่วส่วนลงบนตะแกรงไนล่อน เกลี่ยให้ทั่วตะแกรง เทคนิคคืออย่าวางเมล็ดถั่วซ้อนกัน ถั่วงอกจะได้งอกสมบูรณ์และอวบน่ารับประทาน
3. ทำเช่นเดียวกันจนครบทั้ง 5 ชั้น ปิดทับถั่วเขียวชั้นบนสุดด้วยผ้ากระสอบ 2 ผืน ใช้ฝักบัวรดน้ำให้ชุ่ม แล้วปิดฝาถัง
4. ใช้ฝักบัวรดน้ำทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ละครั้งให้สังเกตน้ำที่ระบายออกมาจากรูก้นถัง หากยังมีอุณหภูมิสูง ให้รดน้ำต่อไปจนกระทั่งน้ำมีอุณหภูมิปกติ ทำเช่นนี้ 2 คืน 3 วัน
5. เมื่อครบ 3 วัน ให้เตรียมกะละมังใส่น้ำ ยกแผงของถั่วงอกออกมาจากถัง แล้วจะเห็นว่าต้นถั่วงอกจะอยู่ด้านบนของตะแกรงไนล่อนค่ะ ส่วนรากถั่วงอกจะทะลุผ่านผ้ากระสอบ ให้ใช้มีดปาดที่โคนต้นถั่วงอกด้านที่ติดกับตะแกรงไนล่อนลงสู่กะละมัง ล้างถั่วงอกที่ตัดรากแล้วให้สะอาด ถั่วงอกก็พร้อมที่จะนำไปบรรจุถุงเพื่อเตรียมจำหน่ายต่อไป เป็นอันเสร็จขึ้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดแล้วค่ะ
ช่องทางการขาย
ช่องทางทำเงินจากการขายถั่วงอกคอนโดนั้น มีทั้งในตลาดขนาดเล็ก เช่น ตลาดในหมู่บ้าน ในชุมชน หรือถ้าทำเป็นธุรกิจหลัก ก็สามารถติดต่อกับตลาดค้าส่งผักได้อีกด้วย ถั่วงอกคอนโดยังสามารถทำกลยุทธ์ทางการตลาดได้ ด้วยการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม แล้วพิมพ์ข้างถุงได้เลยค่ะว่าเป็นถั่วงอกคอนโดปลอดสารเคมี อุปกรณ์ที่เราใช้ในการเพาะถั่วงอกครั้งแรกทั้งหมดก็สามารถใช้ซ้ำและมีอายุยาวนาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการเก็บรักษา จึงถือว่าประหยัดต้นทุนมากค่ะ
สรุป
การเพาะถั่วงอกคอนโดนั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วยค่ะ เพราะไม่ได้ใช้สารเคมีใดๆในการเพาะปลูกเลย สบายใจทั้งผู้ผลิตและผู้รับประทาน
การลงทุนก็เป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว ซื้ออุปกรณ์ในช่วงเริ่มแรก จากนั้นก็สามารถใช้อุปกรณ์เดิมในการเพาะถั่วงอกได้ในครั้งต่อๆไป ทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากเลยค่ะ
หรือจะเพราะถั่วงอกเพื่อกินเองในครอบครัว ก็ยิ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย มีเงินเหลือเก็บเหลือออมไว้ลงทุนด้านอื่นๆ ยังไงเพื่อนๆก็ลองพิจารณาการเพาะถั่วงอกคอนโดเพื่อขายเผื่อไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอาชีพเสริมกันดูนะคะ
จาก careermakemoney.blogspot.com
http://www.farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=02147
Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2015/04/blog-post_43.html
หากถามว่า ผักอะไรเอ่ย? ที่ใช้เวลาในเวลาการเพาะปลูกน้อยที่สุด หลายๆคนคงตอบได้อย่างทันทีเลยว่า"ถั่วงอก" วันนี้เหมียววดีจะมาแนะนำอาชีพเสริมจากการเกษตรแบบง่ายๆที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกขาย" ถั่วงอกเกิดจากการเพาะเมล็ดถั่ว
ซึ่งสามารถเพาะได้จากถั่วหลายชนิด แต่เมล็ดถั่วเขียวจะเป็นที่นิยมที่สุด ถั่วงอกถือว่าเป็นผักที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงทั้งโปรตีนและเกลือแร่ เวลาที่ใช้ในการเพาะถั่วงอกนั้นก็แสนสั้นใช้เวลาเพียง 3-4 วัน
และที่สำคัญถั่วงอกเป็นผักที่ยังมีความต้องการในตลาดสูง เพราะในการปรุงอาหารทั้งไทย จีน อาหารพื้นบ้าน อาหารเจและมังสวิรัต ก็ยังใช้ถั่วงอกเป็นส่วนประกอบหรือเป็นเครื่องเคียง
การเพาะถั่วงอกเพื่อขายนั้น จึงถือว่าเป็นธุรกิจทำเงินที่น่าสนใจและยังคงมาแรงถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เหมียววดีจึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงวิธีทำเงินจากการเพาะถั่วงอกเพื่อขายไว้เป็นทางเลือกของอาชีพเสริมกันค่ะ
วิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย
การเพราะถั่วงอก มีหลากหลายวิธี เช่น เพาะในทราย เพาะในขวดน้ำ หรือเพาะในหม้อดิน และอีกหลายวิธี แต่วันนี้ เหมียววดี มีวิธีการเพาะถั่วงอกเพื่อขาย ที่เหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด
แต่จะได้ปริมาณถั่วงอกที่มาก ด้วยวิธีการง่ายๆเหมาะผู้เริ่มต้นกับการเกษตรเชิงสร้างสรรค์ นั่นก็คือ "การเพาะถั่วงอกคอนโด" เราไปดูกันเลยค่ะว่ามีอุปกรณ์อะไรและมีวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดอย่างไร
อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเพาะถั่วงอกคอนโด
1. ถังขนาด 30 ลิตร มีฝาปิดและทึบแสง นำมาเจาะรูที่ก้นถังให้ทั่วเพื่อระบายน้ำที่รดถั่วงอก
2. ผ้ากระสอบ ตัดเป็นวงกลมเท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 7 ผืน
3. ตะแกรงปิ้งปลา ให้นำมาดัดขาให้สูง 1 นิ้ว จะใช้วางที่ก้นถัง เพื่อให้ถั่วงอกคอนโดชั้นแรกหยั่งรากได้
4. ตะแกรงไนล่อน หรือตาข่ายพลาสติก ต้องมีรูเล็กกว่าเมล็ดถั่ว นำมาตัดเป็นวงกลมให้เท่ากับขนาดก้นถัง จำนวน 5 ใบ
5. เมล็ดถั่วเขียว ครึ่งกิโลกรัม นำมาคัดเมล็ดลีบเสียทิ้งไป แล้วแช่เมล็ดถั่วในน้ำอุ่น อัตราส่วน น้ำร้อน:น้ำเย็น 1:1 นาน 4 ชั่วโมง ถ้าแช่ในน้ำธรรมดา นาน 8 ชั่วโมง เมื่อครบชั่วโมงให้นำมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นไปเริ่มวิธีการเพาะถั่วงอกคอนโดกันเลยค่ะ
ขั้นตอนการเพราะถั่วงอกคอนโด
ก่อนอื่นเราต้องลวกอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อนนะคะ จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดได้เลยค่ะ
1. วางตะแกรงปิ้งปลาลงที่ก้นถัง แล้ววางทับด้วยผ้ากระสอบ 1 ผืน วางตะแกรงไนล่อน 1 ใบ ทับบนผ้ากระสอบ
2. วางเมล็ดถั่วส่วนลงบนตะแกรงไนล่อน เกลี่ยให้ทั่วตะแกรง เทคนิคคืออย่าวางเมล็ดถั่วซ้อนกัน ถั่วงอกจะได้งอกสมบูรณ์และอวบน่ารับประทาน
3. ทำเช่นเดียวกันจนครบทั้ง 5 ชั้น ปิดทับถั่วเขียวชั้นบนสุดด้วยผ้ากระสอบ 2 ผืน ใช้ฝักบัวรดน้ำให้ชุ่ม แล้วปิดฝาถัง
4. ใช้ฝักบัวรดน้ำทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ละครั้งให้สังเกตน้ำที่ระบายออกมาจากรูก้นถัง หากยังมีอุณหภูมิสูง ให้รดน้ำต่อไปจนกระทั่งน้ำมีอุณหภูมิปกติ ทำเช่นนี้ 2 คืน 3 วัน
5. เมื่อครบ 3 วัน ให้เตรียมกะละมังใส่น้ำ ยกแผงของถั่วงอกออกมาจากถัง แล้วจะเห็นว่าต้นถั่วงอกจะอยู่ด้านบนของตะแกรงไนล่อนค่ะ ส่วนรากถั่วงอกจะทะลุผ่านผ้ากระสอบ ให้ใช้มีดปาดที่โคนต้นถั่วงอกด้านที่ติดกับตะแกรงไนล่อนลงสู่กะละมัง ล้างถั่วงอกที่ตัดรากแล้วให้สะอาด ถั่วงอกก็พร้อมที่จะนำไปบรรจุถุงเพื่อเตรียมจำหน่ายต่อไป เป็นอันเสร็จขึ้นตอนการเพาะถั่วงอกคอนโดแล้วค่ะ
ช่องทางการขาย
ช่องทางทำเงินจากการขายถั่วงอกคอนโดนั้น มีทั้งในตลาดขนาดเล็ก เช่น ตลาดในหมู่บ้าน ในชุมชน หรือถ้าทำเป็นธุรกิจหลัก ก็สามารถติดต่อกับตลาดค้าส่งผักได้อีกด้วย ถั่วงอกคอนโดยังสามารถทำกลยุทธ์ทางการตลาดได้ ด้วยการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม แล้วพิมพ์ข้างถุงได้เลยค่ะว่าเป็นถั่วงอกคอนโดปลอดสารเคมี อุปกรณ์ที่เราใช้ในการเพาะถั่วงอกครั้งแรกทั้งหมดก็สามารถใช้ซ้ำและมีอายุยาวนาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการเก็บรักษา จึงถือว่าประหยัดต้นทุนมากค่ะ
สรุป
การเพาะถั่วงอกคอนโดนั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วยค่ะ เพราะไม่ได้ใช้สารเคมีใดๆในการเพาะปลูกเลย สบายใจทั้งผู้ผลิตและผู้รับประทาน
การลงทุนก็เป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว ซื้ออุปกรณ์ในช่วงเริ่มแรก จากนั้นก็สามารถใช้อุปกรณ์เดิมในการเพาะถั่วงอกได้ในครั้งต่อๆไป ทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากเลยค่ะ
หรือจะเพราะถั่วงอกเพื่อกินเองในครอบครัว ก็ยิ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย มีเงินเหลือเก็บเหลือออมไว้ลงทุนด้านอื่นๆ ยังไงเพื่อนๆก็ลองพิจารณาการเพาะถั่วงอกคอนโดเพื่อขายเผื่อไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอาชีพเสริมกันดูนะคะ
จาก careermakemoney.blogspot.com
http://www.farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=02147
Cr. http://farmkaset.blogspot.com/2015/04/blog-post_43.html
วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559
Positive Thinking เพื่อการปรับมุมมอง >>หรือกรอบของความคิด!!
>>เป็นการคิดในมุมมองที่เราไม่เคยมอง เป็นมุมที่จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น
การคิดบวกสามารถใช้ในการแทนที่ความคิดลบหรือความคิดที่บิดเบือนต่างๆได้
เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นส่วนประกอบของการรักษาโรคทางจิตเวชแทบทุกโรค
จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า..
การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า..
การคิดบวกเป็นเรื่องของคนโลกสวยหรือมองความจริงเพียงด้านเดียวโดยไม่ยอมสนใจมุมที่เป็นด้านลบ
แต่จริงๆแล้วการคิดบวกเป็นการ (พยายาม) ปรับมุมมองหรือกรอบของความคิด
โดยไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเองว่าเรา "ไม่มีปัญหา" แต่เพื่อให้เรา "มีแรงพอ" ที่จะสู้กับปัญหา
เป็นการมองปัญหานั้นในมุมใหม่ๆ เช่น มองว่าปัญหา"แม้จะยาก แต่ก็สามารถแก้ได้หากมีความพยายามและวิธีการที่ดีพอ" หรือเลือกที่จะมองปัญหาว่าเป็น "โอกาส"
ในการเรียนรู้หรือเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต การคิดบวกจึงเป็นการคิดในทางที่ไม่ต้องเครียดมากนัก
และสไดล์ชุดนี้ก็เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราสามารถฝึกเป็นคนคิดบวกได้ครับ :)
ปล. เทคนิคการคิดบวกอาจไม่สามารถนำมาใช้กับทุกๆ บริบทของชีวิต (ในการแข่งขัน การค้าขาย การตลาด สงคราม)
การเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาจึงนับเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิต
.
By...คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา
www.facebook.com/D2JED
Link : http://tinyurl.com/qzxfjel
การคิดบวกสามารถใช้ในการแทนที่ความคิดลบหรือความคิดที่บิดเบือนต่างๆได้
เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นส่วนประกอบของการรักษาโรคทางจิตเวชแทบทุกโรค
การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป
การคิดบวกเป็นเรื่องของคนโลกสวยหรือมองความจริงเพียงด้านเดียวโดยไม่ยอมสนใจมุมที่เป็นด้านลบ
แต่จริงๆแล้วการคิดบวกเป็นการ (พยายาม) ปรับมุมมองหรือกรอบของความคิด
เป็นการมองปัญหานั้นในมุมใหม่ๆ เช่น มองว่าปัญหา"แม้จะยาก แต่ก็สามารถแก้ได้หากมีความพยายามและวิธีการที่ดีพอ" หรือเลือกที่จะมองปัญหาว่าเป็น "โอกาส"
ในการเรียนรู้หรือเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต การคิดบวกจึงเป็นการคิดในทางที่ไม่ต้องเครียดมากนัก
และสไดล์ชุดนี้ก็เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราสามารถฝึกเป็นคนคิดบวกได้ครับ :)
ปล. เทคนิคการคิดบวกอาจไม่สามารถนำมาใช้กับทุกๆ บริบทของชีวิต (ในการแข่งขัน การค้าขาย การตลาด สงคราม)
การเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาจึงนับเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิต
.
By...คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา
www.facebook.com/D2JED
Link : http://tinyurl.com/qzxfjel
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559
สูตรล้างไขมันสะสมในลำไส้ ล้างพิษในลำไส้ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น!!!
สูตรล้างไขมันสะสมในลำไส้ ล้างพิษในลำไส้ ลำไส้สะอาด สุขภาพดีขึ้น!
สุขภาพร่างการเราเป็นเรื่องสำคัญ อย่าละเลยที่จะดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมากจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั่นปัสสวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย
หน้าห้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างรายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร
นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด
และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาาแนะให้ทำกันค่ะ
สูตรลดหน้าท้องนี้ จะช่วยปรับสมดูลร่างกาย และควบคุณน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน
สามารถนำวิธีนี้ไปทำดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้
-นมสดรสจืด หรือ โยเกิร์ตรไขมันต่ำ ครึ่งถ้วย
-น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่อยากให้หวานมากก็ลดลงเหลือ 3/4 ช้อนค่ะ)
-มะนาวสด 1 ลูก
น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล ควรรางทิ้งไว้ 15-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น
สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะเห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก
ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพราะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ
แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำไว้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันนะคะ
ที่มา http://www.lovenayou.com/4323/
สุขภาพร่างการเราเป็นเรื่องสำคัญ อย่าละเลยที่จะดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมากจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั่นปัสสวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย
หน้าห้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างรายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร
นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด
และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาาแนะให้ทำกันค่ะ
สูตรลดหน้าท้องนี้ จะช่วยปรับสมดูลร่างกาย และควบคุณน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน
สามารถนำวิธีนี้ไปทำดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้
-นมสดรสจืด หรือ โยเกิร์ตรไขมันต่ำ ครึ่งถ้วย
-น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่อยากให้หวานมากก็ลดลงเหลือ 3/4 ช้อนค่ะ)
-มะนาวสด 1 ลูก
น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล ควรรางทิ้งไว้ 15-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น
สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะเห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก
ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพราะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ
แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำไว้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันนะคะ
ที่มา http://www.lovenayou.com/4323/
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559
พบแม่เฒ่า 5 แผ่นดิน อายุกว่า 111 ปี >>>เผยเคล็ดลับ!! อยากอายุยืนต้องทำแบบนี้!!!
ที่บ้านปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ที่บ้านหลังหนึ่งอยู่ติดกับเขาบรรทัด อากาศดี ธรรมชาติสวยงาม ร่มรื่นไปด้วยป่าเขาและสายน้ำ มีผลไม้นานาชนิด.
พบคุณแม่ท่านหนึ่งเป็นหญิงอายุ 111 ปี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังสุขภาพแข็งแรง ความจำดี
คุณแม่แดง หนูสังข์ อายุ 111 ปี ดูตามบัตรประจำตัวประชาชนเกิดเมื่อปี พ.ศ.2447 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุคคลที่อยู่มา 5 แผ่นดิน
โดยในบ้านอยู่รวมกับลูกสาว คือนางยศ นุ่นขาว อายุ 88 ปี และมีหลาน ๆ อายุ 60 ปี แล้ว
นอกจากนั้นยังมีทายาทอีก 5 รุ่น ลูก หลาน เหลน หลิน โหลน กว่า 200 คน อยู่ใน 2 หมู่บ้าน โดยมีสายคลองกั้นกลางแยกเป็น 2 หมู่บ้านเขาหลัก ตะวันออกและตะวันตก
หลานเล่าให้ฟังว่า ทวดแดงจะทานข้าวซ้อมมือพร้อมกับอาหารประเภทต้ม คือต้มปลา ต้มหมู ผัดผัก ปลาทอด ชอบรับประทานผลไม้ทุกชนิดโดยเฉพาะทุเรียน และชอบออกกำลังกาย
ช่วงอายุ 80-90 ปี คือ ทำสวนยางพารา ปลูกข้าวไร่ ปลูกผลไม้ หาปลา ทำงานด้านการเกษตรมาตลอด แต่มาระยะหลังอายุ 90 ปีมานี้หยุดทำงาน แต่ไม่มีโรคประจำตัว ชอบนอนพักผ่อนคือนอนเต็มอิ่ม ชอบไปทำบุญที่วัด
มาระยะหลังไม่ไปแล้วเพราะแก่มากลูกหลานไม่ยอมให้ไป คุณทวดแดงช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน
คุณทวดแดงเป็นคนอารมณ์ดี มีลูกหลานแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอด สมัยตอนยังสาวชอบปลูกพืชผักไว้บริเวณบ้าน ส่วนหนึ่งนำไปขาย อีกส่วนเก็บไว้รับประทานเอง ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูลจาก http://news.sanook.com/1840811/ , http://www.bigza.com/
พบคุณแม่ท่านหนึ่งเป็นหญิงอายุ 111 ปี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังสุขภาพแข็งแรง ความจำดี
คุณแม่แดง หนูสังข์ อายุ 111 ปี ดูตามบัตรประจำตัวประชาชนเกิดเมื่อปี พ.ศ.2447 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุคคลที่อยู่มา 5 แผ่นดิน
โดยในบ้านอยู่รวมกับลูกสาว คือนางยศ นุ่นขาว อายุ 88 ปี และมีหลาน ๆ อายุ 60 ปี แล้ว
นอกจากนั้นยังมีทายาทอีก 5 รุ่น ลูก หลาน เหลน หลิน โหลน กว่า 200 คน อยู่ใน 2 หมู่บ้าน โดยมีสายคลองกั้นกลางแยกเป็น 2 หมู่บ้านเขาหลัก ตะวันออกและตะวันตก
หลานเล่าให้ฟังว่า ทวดแดงจะทานข้าวซ้อมมือพร้อมกับอาหารประเภทต้ม คือต้มปลา ต้มหมู ผัดผัก ปลาทอด ชอบรับประทานผลไม้ทุกชนิดโดยเฉพาะทุเรียน และชอบออกกำลังกาย
ช่วงอายุ 80-90 ปี คือ ทำสวนยางพารา ปลูกข้าวไร่ ปลูกผลไม้ หาปลา ทำงานด้านการเกษตรมาตลอด แต่มาระยะหลังอายุ 90 ปีมานี้หยุดทำงาน แต่ไม่มีโรคประจำตัว ชอบนอนพักผ่อนคือนอนเต็มอิ่ม ชอบไปทำบุญที่วัด
มาระยะหลังไม่ไปแล้วเพราะแก่มากลูกหลานไม่ยอมให้ไป คุณทวดแดงช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน
คุณทวดแดงเป็นคนอารมณ์ดี มีลูกหลานแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอด สมัยตอนยังสาวชอบปลูกพืชผักไว้บริเวณบ้าน ส่วนหนึ่งนำไปขาย อีกส่วนเก็บไว้รับประทานเอง ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูลจาก http://news.sanook.com/1840811/ , http://www.bigza.com/
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
กากหมูอาหารว่างที่ถูกปากใครหลายคน ทำเองได้ง่ายๆ
กากหมูอาหารว่างที่ถูกปากใครหลายคน ด้วยความกรุบกรอบของกากหมูทำให้กินเท่าไหร่ก็เพลินจนวางมือไม่ลง
แต่ในบางครั้งเวลาซื้อกินมักเจอกับปัญหากากหมูเหม็นหืน จึงทำให้เสียรสชาติในการกิน ฉะนั้นในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อย
วิธีการทำ
1.นำหนังหมูติดมันหั่นเป็นชิ้นๆเยอะหรือน้อยก็แล้วแต่ต้องการ
2. นำน้ำส้มสายชูเทลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ไม่ต้องเยอะมาก (หากใช้หนังหมูประมาณ 2 กิโลกรัม ให้ใช้น้ำส้มสายชู 3/4 ช้อนโต๊ะ)
3. จากนั้นนำหนังหมูเทใส่กระทะที่ตั้งไฟ โดยเลือกใช้ไฟปานกลาง
4. ควรหมั่นคน หมูกรอบของคุณจะได้สุกและเหลืองเท่าๆ กัน
5. ทำการเจียวจนน้ำมันเริ่มออก และให้คุณทำการสังเกตว่า ถ้าหากน้ำมันเริ่มแตกจากหนังหมู(เสียงกระเด็นโพละๆ) ไม่ต้องกลัว ให้นำหนังหมูลงจากเตา
6. ทำการตักกากหมูออกจากน้ำมันขึ้นพักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง
7. นำน้ำมันที่เหลือมาตั้งไฟ โดยใช้ไฟแรงกว่าเดิม รอจนน้ำมันร้อนได้ที่
8. เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว ให้เทหนังหมูเราลงไปทอดอีกครั้ง หมั่นคนเหมือนเดิม หนังหมูจะเริ่มฟูเริ่มพอง
9. เมื่อได้ยินเสียงหนังหมูแตก แล้วก็จะค่อยๆ เริ่มเหลืองขึ้นๆ พอเหลืองสวยก็เป็นอันเสร็จ
10. จากนั้นตักออกจากน้ำมันขึ้นพักให้เย็น ทานคู่กับน้ำพริก, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยวหรือจะทานเล่นก็ยังได้
หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว น้ำลายสอกันเลยใช่ไหมละ แถมได้ทราบถึงสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อย่ารอช้าเข้าครัวไปทำกันเถอะ
ขอบคุณข้อมูล http://www.thaijobsgov.com/jobs/79374
แต่ในบางครั้งเวลาซื้อกินมักเจอกับปัญหากากหมูเหม็นหืน จึงทำให้เสียรสชาติในการกิน ฉะนั้นในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อย
วิธีการทำ
1.นำหนังหมูติดมันหั่นเป็นชิ้นๆเยอะหรือน้อยก็แล้วแต่ต้องการ
2. นำน้ำส้มสายชูเทลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ไม่ต้องเยอะมาก (หากใช้หนังหมูประมาณ 2 กิโลกรัม ให้ใช้น้ำส้มสายชู 3/4 ช้อนโต๊ะ)
3. จากนั้นนำหนังหมูเทใส่กระทะที่ตั้งไฟ โดยเลือกใช้ไฟปานกลาง
4. ควรหมั่นคน หมูกรอบของคุณจะได้สุกและเหลืองเท่าๆ กัน
5. ทำการเจียวจนน้ำมันเริ่มออก และให้คุณทำการสังเกตว่า ถ้าหากน้ำมันเริ่มแตกจากหนังหมู(เสียงกระเด็นโพละๆ) ไม่ต้องกลัว ให้นำหนังหมูลงจากเตา
6. ทำการตักกากหมูออกจากน้ำมันขึ้นพักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง
7. นำน้ำมันที่เหลือมาตั้งไฟ โดยใช้ไฟแรงกว่าเดิม รอจนน้ำมันร้อนได้ที่
8. เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว ให้เทหนังหมูเราลงไปทอดอีกครั้ง หมั่นคนเหมือนเดิม หนังหมูจะเริ่มฟูเริ่มพอง
9. เมื่อได้ยินเสียงหนังหมูแตก แล้วก็จะค่อยๆ เริ่มเหลืองขึ้นๆ พอเหลืองสวยก็เป็นอันเสร็จ
10. จากนั้นตักออกจากน้ำมันขึ้นพักให้เย็น ทานคู่กับน้ำพริก, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยวหรือจะทานเล่นก็ยังได้
หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว น้ำลายสอกันเลยใช่ไหมละ แถมได้ทราบถึงสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อย่ารอช้าเข้าครัวไปทำกันเถอะ
ขอบคุณข้อมูล http://www.thaijobsgov.com/jobs/79374
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)