>>เป็นการคิดในมุมมองที่เราไม่เคยมอง เป็นมุมที่จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น
การคิดบวกสามารถใช้ในการแทนที่ความคิดลบหรือความคิดที่บิดเบือนต่างๆได้
เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นส่วนประกอบของการรักษาโรคทางจิตเวชแทบทุกโรค
จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า..
การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า..
การคิดบวกเป็นเรื่องของคนโลกสวยหรือมองความจริงเพียงด้านเดียวโดยไม่ยอมสนใจมุมที่เป็นด้านลบ
แต่จริงๆแล้วการคิดบวกเป็นการ (พยายาม) ปรับมุมมองหรือกรอบของความคิด
โดยไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเองว่าเรา "ไม่มีปัญหา" แต่เพื่อให้เรา "มีแรงพอ" ที่จะสู้กับปัญหา
เป็นการมองปัญหานั้นในมุมใหม่ๆ เช่น มองว่าปัญหา"แม้จะยาก แต่ก็สามารถแก้ได้หากมีความพยายามและวิธีการที่ดีพอ" หรือเลือกที่จะมองปัญหาว่าเป็น "โอกาส"
ในการเรียนรู้หรือเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต การคิดบวกจึงเป็นการคิดในทางที่ไม่ต้องเครียดมากนัก
และสไดล์ชุดนี้ก็เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราสามารถฝึกเป็นคนคิดบวกได้ครับ :)
ปล. เทคนิคการคิดบวกอาจไม่สามารถนำมาใช้กับทุกๆ บริบทของชีวิต (ในการแข่งขัน การค้าขาย การตลาด สงคราม)
การเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาจึงนับเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิต
.
By...คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา
www.facebook.com/D2JED
Link : http://tinyurl.com/qzxfjel
สูตรล้างไขมันสะสมในลำไส้ ล้างพิษในลำไส้ ลำไส้สะอาด สุขภาพดีขึ้น!
สุขภาพร่างการเราเป็นเรื่องสำคัญ อย่าละเลยที่จะดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมากจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั่นปัสสวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย
หน้าห้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างรายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร
นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด
และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาาแนะให้ทำกันค่ะ
สูตรลดหน้าท้องนี้ จะช่วยปรับสมดูลร่างกาย และควบคุณน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน
สามารถนำวิธีนี้ไปทำดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้
-นมสดรสจืด หรือ โยเกิร์ตรไขมันต่ำ ครึ่งถ้วย
-น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่อยากให้หวานมากก็ลดลงเหลือ 3/4 ช้อนค่ะ)
-มะนาวสด 1 ลูก
น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน
ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล ควรรางทิ้งไว้ 15-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น
สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะเห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก
ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพราะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ
แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำไว้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันนะคะ
ที่มา http://www.lovenayou.com/4323/
ที่บ้านปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ที่บ้านหลังหนึ่งอยู่ติดกับเขาบรรทัด อากาศดี ธรรมชาติสวยงาม ร่มรื่นไปด้วยป่าเขาและสายน้ำ มีผลไม้นานาชนิด.
พบคุณแม่ท่านหนึ่งเป็นหญิงอายุ 111 ปี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังสุขภาพแข็งแรง ความจำดี
คุณแม่แดง หนูสังข์ อายุ 111 ปี ดูตามบัตรประจำตัวประชาชนเกิดเมื่อปี พ.ศ.2447 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุคคลที่อยู่มา 5 แผ่นดิน
โดยในบ้านอยู่รวมกับลูกสาว คือนางยศ นุ่นขาว อายุ 88 ปี และมีหลาน ๆ อายุ 60 ปี แล้ว
นอกจากนั้นยังมีทายาทอีก 5 รุ่น ลูก หลาน เหลน หลิน โหลน กว่า 200 คน อยู่ใน 2 หมู่บ้าน โดยมีสายคลองกั้นกลางแยกเป็น 2 หมู่บ้านเขาหลัก ตะวันออกและตะวันตก
หลานเล่าให้ฟังว่า ทวดแดงจะทานข้าวซ้อมมือพร้อมกับอาหารประเภทต้ม คือต้มปลา ต้มหมู ผัดผัก ปลาทอด ชอบรับประทานผลไม้ทุกชนิดโดยเฉพาะทุเรียน และชอบออกกำลังกาย
ช่วงอายุ 80-90 ปี คือ ทำสวนยางพารา ปลูกข้าวไร่ ปลูกผลไม้ หาปลา ทำงานด้านการเกษตรมาตลอด แต่มาระยะหลังอายุ 90 ปีมานี้หยุดทำงาน แต่ไม่มีโรคประจำตัว ชอบนอนพักผ่อนคือนอนเต็มอิ่ม ชอบไปทำบุญที่วัด
มาระยะหลังไม่ไปแล้วเพราะแก่มากลูกหลานไม่ยอมให้ไป คุณทวดแดงช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน
คุณทวดแดงเป็นคนอารมณ์ดี มีลูกหลานแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอด สมัยตอนยังสาวชอบปลูกพืชผักไว้บริเวณบ้าน ส่วนหนึ่งนำไปขาย อีกส่วนเก็บไว้รับประทานเอง ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูลจาก http://news.sanook.com/1840811/ , http://www.bigza.com/
กากหมูอาหารว่างที่ถูกปากใครหลายคน ด้วยความกรุบกรอบของกากหมูทำให้กินเท่าไหร่ก็เพลินจนวางมือไม่ลง
แต่ในบางครั้งเวลาซื้อกินมักเจอกับปัญหากากหมูเหม็นหืน จึงทำให้เสียรสชาติในการกิน ฉะนั้นในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อย
วิธีการทำ
1.นำหนังหมูติดมันหั่นเป็นชิ้นๆเยอะหรือน้อยก็แล้วแต่ต้องการ
2. นำน้ำส้มสายชูเทลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ไม่ต้องเยอะมาก (หากใช้หนังหมูประมาณ 2 กิโลกรัม ให้ใช้น้ำส้มสายชู 3/4 ช้อนโต๊ะ)
3. จากนั้นนำหนังหมูเทใส่กระทะที่ตั้งไฟ โดยเลือกใช้ไฟปานกลาง
4. ควรหมั่นคน หมูกรอบของคุณจะได้สุกและเหลืองเท่าๆ กัน
5. ทำการเจียวจนน้ำมันเริ่มออก และให้คุณทำการสังเกตว่า ถ้าหากน้ำมันเริ่มแตกจากหนังหมู(เสียงกระเด็นโพละๆ) ไม่ต้องกลัว ให้นำหนังหมูลงจากเตา
6. ทำการตักกากหมูออกจากน้ำมันขึ้นพักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง
7. นำน้ำมันที่เหลือมาตั้งไฟ โดยใช้ไฟแรงกว่าเดิม รอจนน้ำมันร้อนได้ที่
8. เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว ให้เทหนังหมูเราลงไปทอดอีกครั้ง หมั่นคนเหมือนเดิม หนังหมูจะเริ่มฟูเริ่มพอง
9. เมื่อได้ยินเสียงหนังหมูแตก แล้วก็จะค่อยๆ เริ่มเหลืองขึ้นๆ พอเหลืองสวยก็เป็นอันเสร็จ
10. จากนั้นตักออกจากน้ำมันขึ้นพักให้เย็น ทานคู่กับน้ำพริก, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยวหรือจะทานเล่นก็ยังได้
หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว น้ำลายสอกันเลยใช่ไหมละ แถมได้ทราบถึงสูตรวิธีทำกากหมู ให้กรอบและหอมหวาน ทานเล่นยังอร่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อย่ารอช้าเข้าครัวไปทำกันเถอะ
ขอบคุณข้อมูล http://www.thaijobsgov.com/jobs/79374
วันนี้เรามีเคล็ดลับและสาระดีๆสำหรับใครที่ชอบใช้อาหารแต่ละอย่างมาทานเพื่อสุขภาพ วันนี้เรามีอาหารดีๆมาแนะนำ มาดูกันเลย
1. เห็ดเป็นอาหารป้องกันมะเร็งที่ได้รับความยอมรับกันทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะเห็ดหอม สามารถเสริมภูมิต้านทานของเซลล์ร่างกาย คล้ายๆ กับการบำรุงเลือดลม มีข่าวรายงานว่า ชาวเขาที่รับประทานเห็ดทุกวันในเขตบอสเนีย ไม่เคยเป็นหวัดและเป็นมะเร็ง
2. แอปเปิ้ล ผลการวิจัยพบว่า วิตามันซีในแอปเปิ้ลสามารถยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็งและทำให้เซลล์มะเร็งกลายเป็นเซลล์ปกติ ซึ่งฝั่งตะวันตกมีสำนวนว่า รับประทานแอปเปิ้ลวันละลูก ไม่ต้องไปหาหมออีกต่อไป
3.สาหร่าย ทะเล เลือดของผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นกรด ในสาหร่ายทะเลมีสารแคลเซียมมาก สามารถปรับปรุงความสมดุลระหว่างกรดกับด่างในเลือด จึงป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้ เนื่องจากเซลลูโรสในสาหร่ายทะเลย่อยยาก เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้ปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น จึงช่วยขับถ่ายสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้
4.ใบชา นักวิทยาศาสตร์เอาใบชาผสมในอาหารเลี้ยงสัตว์แล้วให้หนูทดลองที่เป็นมะเร็ง กิน ปรากฎว่า หลังจากกินเป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว เซลล์มะเร็งในตัวหนูลดลง และสารบางชนิดในใบชาสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งทั่วทั้งตัวได้ ดื่มน้ำชาบ่อยๆ ไม่เพียงแต่ป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิดเท่านั้น หากยังป้อกันมะเร็งได้ด้วย
5.ข้าว โพด ซึ่งนอกจากมีสรรพคุณป้องกันและช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัวและนิ่วแล้ว ยังมีบทบาทป้องกันมะเร็งด้วย โดยเฉพาะในแป้งข้าวโพดมีกรดอะมีโนมากมาย ป้องกันมะเร็งและฆ่าเซลล์มะเร็งได้
6. ถั่วเหลืองมีสารป้องกันมะเร็งอย่างน้อย 5 ชนิด ซึ่งมีชนิดหนึ่งคล้ายคลึงกับยารักษามะเร็งเต้านมที่ใช้กันทั่วไป จึงมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งเต้านมได้ดี
7.ผักพวกต้นหอม กระเทียมและหัวหอม ผลการทดลองในสัตว์ปรากฎว่า ผักประเภทนี้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอดและมะเร็งตับ โดยเฉพาะในหัวหอมมีสารชนิดหนึ่งสามารถเสริมภูมิคุ้มกันและยับยั้งการแพร่ กระจายของเซลล์มะเร็งได้
8. แมงกะพรุนมีสารชนิดหนึ่งที่ป้องกันเชื้อไวรัส และมะเร็งได้
นอก จากพืชชนิดต่างๆ แล้ว เนื้อสัตว์ก็ป้องกันมะเร็งได้ด้วย เช่น เนื้อวัว นักวิจัยสหรัฐฯ พบว่า ในเนื้อวัวมีสารชนิดหนึ่งที่ยับยั้งสารก่อมะเร็งได้
และหวังว่าจะสกัดสารป้องกันและรักษามะเร็งจากเนื้อวัวให้เป็นผลสำเร็จใน อนาคต
ส่วนเกล็ดสีขาวของปลาดาบมีโปรตีน เกลืออนินทรีย์และไขมันมาก เมื่อผ่านการแปรรูปแล้ว จะเป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตยารักษามะเร็งในโลหิต
ความจริง อาหารทุกชนิดก็มีทั้งคุณและโทษต่อสุขภาพ ที่สำคัญคือรับประทานตามหลักโภชนาการและในปริมาณที่เหมาะสม ออกกำลังกายในวิธีการที่ถูกต้อง โรคภัยไข้เจ็บก็จะไกลจากตัวเรา
Cr. Howlife