วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

ข่าวดีคนชอบกิน 'เห็ดเผาะ' เพาะได้ไม่ต้องเผาป่ารอฝน

ข่าวดีคนชอบกิน 'เห็ดเผาะ' เพาะได้ไม่ต้องเผาป่ารอฝน!


ใครชอบเมนูที่ทำจาก “เห็ดเผาะ” ต้องฟังทางนี้ จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อกิโลกรัมละแพงๆ อีกต่อไป เพราะว่า “เห็ดเผาะ” สามารถปลูกเองได้ตามธรรมชาติ แถมไม่ต้องเผาป่า... อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/article/524177

8 วิธีโบกมือลาอาหารขยะ รีบเอาชนะก่อนนำพาโรคมาทักทาย!!

8 วิธีโบกมือลาอาหารขยะ รีบเอาชนะก่อนนำพาโรคมาทักทาย !!!

   อาหารขยะ รู้อยู่ว่าไม่ดีกับร่างกาย แต่ยังไงก็เลิกไม่ได้ ลองหยิบวิธีเหล่านี้ไปใช้สิ เผื่อจะช่วยให้เลิกกินจังก์ฟู้ดได้



   อาหารขยะ หรือจังก์ฟู้ดที่เรารู้จักกันดี เต็มไปด้วยไขมันทรานส์ และสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องยอมรับว่ามีหลาย ๆ คนที่ไม่สามารถหักห้ามใจทุกครั้งที่ได้เห็น.

 จะมีวิธีบ้างไหนที่จะช่วยให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารเหล่านี้น้อยลงบ้างหรือเปล่านะ ไม่ต้องกลุ้มกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะเว็บไซต์ womanitely ได้หยิบเอาวิธีปราบความอยากอาหารจังก์ฟู๊ด มาฝากกัน

 เป็นวิธีที่ได้ผลแบบสองเด้ง ทั้งลดความอยากอาหารขยะและช่วยสร้างเสริมสุขภาพ หยิบไปทำกันเสียดี ๆ ถ้าไม่อยากเสียสุขภาพไปมากกว่านี้นะ  

 อาหารขยะ

 เพิ่มผักในอาหารจานโปรด
   ถ้าคุณไม่ใช่คนที่พิศวาสการรับประทานผักแต่ก็อยากเอาชนะความอยากอาหารขยะละก็ ลองท้าทายตัวเองด้วยการเติมผักลงไปในอาหารจานโปรดของคุณดูค่ะ จริงอยู่ที่ว่าคนไม่ชอบผัก ยังไงก็ไม่ชอบกิน แต่ว่าการรับประทานผักเป็นประจำจะช่วยให้คุณลดความอยากอาหารขยะได้ดีเลย ที่สำคัญผักยังมีกากใยสูงทำให้อิ่มท้อง ลดการรับประทานอาหารจนมากเกินไปหรือช่วยลดการรับประทานอาหารที่ไม่ประโยชน์ได้ดี

 เปลี่ยนจากขนมขบเคี้ยวเป็นผลไม้
   คงไม่มีใครที่ไม่ทานทั้งผักและไม่ทานผลไม้หรอกจริงไหมคะ ฉะนั้นถ้าหากคุณพยายามกับผักแล้วรู้สึกว่ายังไงคุณก็สู้ไม่ไหว ลองเปลี่ยนมารับประทานผลไม้แทนค่ะ โดยเปลี่ยนจากการรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นของว่างมาเป็นการรับประทานผลไม้แทน จะทานเพียงอย่างเดียวหรือจะเพิ่มความหลากหลายด้วยการรับประทานเป็นสลัดผลไม้ จะรับประทานผลไม้กับโยเกิร์ต ปั่นเป็นสมูทตี้ก็แล้วแต่จะสะดวก แต่อย่าลืมคำนึงถึงปริมาณน้ำตาลด้วยล่ะ เท่านี้เองคุณก็จะสามารถอิ่มท้องได้โดยไม่แอบแวบไปคิดถึงอาหารขยะ ที่สำคัญวิตามินและแร่ธาตุในผลไม้ยังดีต่อสุขภาพด้วย

อาหารขยะ

 ออกกกำลังกาย
    อาจจะฟังดูแปลก แต่การออกกำลังกายนี่ล่ะค่ะที่ช่วยเราให้ออกห่างจากอาหารขยะได้ เพราะโดยปกติแล้วคนเราเมื่อรู้สึกเบื่อ มีความเครียด หรือรู้สึกซึมเศร้า ก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการกิน และอาหารที่เลือกกินก็เป็นอาหารขยะเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าเราเปลี่ยนจากการรับประทานอาหารขยะมาเป็นออกกำลังกายให้มากขึ้น จะช่วยทำให้ความเครียด อาการเบื่อ หรือซึมเศร้าหมดไปได้ อีกทั้งยังทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรง มีหุ่นที่ฟิตแอนด์เฟิร์มได้อีกด้วยล่ะ รู้แบบนี้ก็รีบวางจังก์ฟู้ดแล้วไปออกกกำลังกายกันเถอะ

 รับประทานอาหารที่มีสีเขียวให้มากขึ้น
   ความอยากอาหารนั้นเป็นกลไกที่ร่างกายต้องการส่งสัญญาณว่าร่างกายกำลังขาดสารอาหารบางชนิด ซึ่งวิธีที่จะลดความอยากอาหารเหล่านี้ได้ก็คือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แต่การรับประทานอาหารขยะเข้าไปในขณะหิวไม่ใช่วิธีที่ดีในการลดความอยากอาหารเพราะอาหารขยะนั้นไม่ได้มีสารอาหารเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นแทนที่เราจะหยิบจังก์ฟู้ดเข้าปากเปลี่ยนเป็นรับประทานอาหารที่มีกากใยและมีสีเขียวมากขึ้นจะดีกว่า อย่างเช่น สมูทตี้จากผักผลไม้สีเขียว แบบนี้จะได้ประโยชน์มากกว่า

 ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร
   วิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความอยากอาหารขยะให้ได้ผลที่สุดก็คือการดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนลงมือรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อหลักหรือของว่าง วิธีนี้จะช่วยทำให้คุณหนักท้องและรับประทานได้น้อยลง ช่วยลดอาการหิวแบบหน้ามืดตาลายจนรับประทานเยอะมากเกินไป และทำให้คุณมีสติในการหยิบอะไรก็ตามเข้าปากอีกด้วยล่ะ

 เพิ่มโปรตีนในมื้อเช้า
  แค่เพียงรับประทานโปรตีนในมื้อเช้าให้มากขึ้นก็ช่วยลดความหิวในช่วงระหว่างวันได้ค่ะ แถมยังช่วยทำให้ระดับน้ำตาลของคุณอยู่ในระดับต่ำ ลดความอยากอาหารขยะได้ เนื่องจากโปรตีนนอกจากจะอยู่ท้องนานกว่าอาหารประเภทอิ่น ๆ แล้วก็ยังเพิ่มพลังให้ร่างกาย ป้องกันไม่ให้อ่อนเพลียระหว่างวัน อีกทั้งโปรตีนนั้นก็ยังมีในอาหารหลากหลายชนิดไม่ได้มีแค่ในเนื้อสัตว์เท่านั้น เช้าพรุ่งนี้ลองเปลี่ยนจากอาหารเดิม ๆ ที่มารับประทานอาหารที่เน้นโปรตีนมากขึ้นแล้วคุณจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนค่ะ

อาหารขยะ

 ทานถั่วกันดีกว่า
  หากคราวหน้าคุณรู้สึกอยากกินบรรดาจังก์ฟู้ดทั้งหลายละก็ ลองหันไปพึ่งพาบรรดาถั่วชนิดต่าง ๆ แทนดูสิ ไม่จำเป็นต้องรับประทานเยอะ เพียงกำมือเดียวเท่านั้นก็เพียงพอ เพราะในบรรดาถั่วเปลือกแข็งหลากหลายชนิดนี้ต่างก็มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แถมบางชนิดก็ยังมีโปรตีนอีกด้วย เช่นอัลมอนด์ ถั่ววอลนัท และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แต่ถ้าไม่ชอบทานเปล่า ๆ จะใส่ถั่วเหล่านี้ในของหวาน หรือนำไปทำเป็นเนยรับประทานกับแอปเปิลก็เก๋ไปอีกแบบนะ

 โบกมือลาน้ำอัดลมแล้วลองน้ำหมักผลไม้แทน

   น้ำหมักผลไม้เป็นวิธีลดความอยากน้ำตาลได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้คุณเลิกน้ำอัดลมได้อีกด้วย ด้วยเพราะรสชาติและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จึงทำให้รู้สึกสดชื่นกว่าการดื่มน้ำอัดลมที่เป็นสาเหตุทำให้ระดับน้ำตาลผกผัน และทำให้เกิดอาการหิวจนต้องไปหาอาหารขยะมารับประทานไงล่ะ วิธีทำก็ไม่ยาก เพียงนำผลไม้ที่คุณชอบมาแช่ และใช้ช้อนบี้ให้น้ำในผลไม้ออกมาแล้วเติมน้ำเย็นลงไป แช่ทิ้งไว้อยากดื่มเมื่อไรก็หยิบมาดื่ม รับรองว่าจะติดใจจนลืมน้ำอัดลมไปเลย

   รู้วิธีดี ๆ แบบนี้กันไปแล้วก็รีบนำไปทำตามกันเลยนะ ยิ่งเริ่มทำเร็วก็ยิ่งบอกลาอาหารขยะได้เร็ว สุขภาพของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าอาจจะขัดอกขัดใจไม่เสียหน่อยแต่ถ้าไม่รีบเปลี่ยนแปลง สุขภาพของเราก็จะยิ่งแย่ อร่อยปากแต่มีโรคตามมาทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย

‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป=อาหารขยะ’!! อยากมีสุขภาพดีต้องมองข้าม !

‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป=อาหารขยะ’!! อยากมีสุขภาพดีต้องมองข้าม !!



ชาวเอเชียนั้นว่ากันว่าบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเป็นบ้าเป็นหลัง เหตุผลง่ายๆก็คือ ราคาถูก ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมมาก และอิ่มท้อง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ก็ชอบรับประทาน อุตสาหกรรมบะหมี่สำเร็จรูปจึงเติบโตอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้จากในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อจนนับไม่ถ้วน และด้วยรูปลักษณ์ต่าง ๆ กัน จุดขายต่าง ๆ กันไป

ถ้าถามว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ หลายคนคงมีคำตอบอยู่แล้วในใจ เรียกว่ารู้ดีอยู่ว่าไม่ควรรับประทานทุกวันเป็นแน่ แต่บางครั้งก็อดใจไม่ไหว บางทีก็ขี้เกียจทำอาหารหรือขี้เกียจออกมาซื้อหาอาหารรับประทาน ที่แน่ๆก็คือ หนุ่มสาวในวัยศึกษาโดยเฉพาะพวกที่อยู่หอพัก ดูหนังสือดึก ๆ ก็ต้มรับประทานคลายหิวไปได้

หากเราลองมาดูส่วนประกอบในฉลาก จะพบว่าส่วนประกอบหลักเลยก็คือแป้ง ซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานหลักของเรา ถ้าไม่มีคาร์โบไฮเดรตร่างกายต้องดึงไขมันสะสมมาใช้ พอไขมันหมดก็ไปเอาโปรตีนมาจากกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ทว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็กำลังถูกเพ่งเล็งอยู่ว่าจะมีผลดีต่อร่างกายหรือไม่

วารสารทางการแพทย์ Journal of the American Medical Association ได้ตีพิมพ์บทความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่มีแป้งเป็นองค์ประกอบสูงกับโรคเบาหวาน พบว่า ขนมปังที่ทำจากแป้งขัดขาว มันฝรั่งบด และบะหมี่สำเร็จรูปนั้นมี glycemic indexes ซึ่งเป็นตัวชี้วัดค่าความสามารถในการทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

 แต่ผู้ศึกษาก็แนะนำว่า ไม่ได้ให้ผู้บริโภคตัดอาหารแป้งทั้งหมดออกไปจากสำรับ แต่ให้หันมารับประทานแป้งชนิดที่ไม่ขัดขาวแทน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น และควรรับประทานพืชผักใบเขียวให้มากขึ้น

นอกจากแป้งแล้ว ส่วนประกอบในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีมากรองลงมาก็คือ ไขมัน หลายท่านคงแปลกใจเพราะดูไม่ออกว่าไขมันมาจากไหน 

แต่ศาสตราจารย์ ฮาโรลด์ คอร์ค ผู้เชี่ยวชาญทางข้าวสาลีแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า นอกจากไขมันในรูปน้ำมันที่อยู่ในซองสำหรับปรุงรสแล้ว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ใช้วิธีทอดเส้นในน้ำมัน มีพียง 3-4% เท่านั้นที่อบแห้งโดยใช้ลมร้อน (air-drying)

 ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในฉลากเพราะไม่ใช่จุดขายของสินค้า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่จึงมีน้ำมันอยู่ประมาณ 18 %

แม้ว่าไขมันจะเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ทว่าผู้ผลิตมักใช้น้ำมันปาล์มซึ่งหาง่ายในแถบเอเชีย ราคาถูกและทำให้บะหมี่มีรสชาติดี แต่ไขมันจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวสูงก็ไม่เหมาะกับคนที่เเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ

นอกจากนั้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีเกลือโปตัสเซียมคาร์บอเนตซึ่งทำให้เส้นบะหมี่มีสีเหลืองอ่อน ๆ น่ารับประทาน ทำให้เส้นเหนียวนุ่มไม่เละง่ายเมื่อถูกน้ำร้อน แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหารและถือว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเครื่องปรุงก็มีเกลือเป็นส่วนใหญ่ ถ้าผู้บริโภคที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ไม่ควรรับประทาน นอกจากนั้นก็มีสีปรุงแต่งอาหาร ผงชูรส ซึ่งบางคนอาจแพ้ได้ บะหมี่สำเร็จรูปที่ไม่มีผงชูรสก็มีเหมือนกันแต่ราคาแพงกว่าปกติประมาณ 25%

ดร.เอ็ดมอนด์ ลี นักโภชนาการชาวฮ่องกงเตือนว่า แม้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางชนิดจะมีผักเป็นส่วนผสมอยู่บ้าง แต่ก็อย่าหวังพึ่งว่าจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะจุดประสงค์ของผู้ผลิตคือแต่งหน้าให้ดูดีน่ารับประทานเฉย ๆ

 แต่เขาก็เข้าใจสำหรับคนที่ชอบรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและไม่เห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร แม้เด็ก ๆ จะชอบรับประทาน แต่ผู้ใหญ่ก็คอยดูแลได้โดยการเติมไข่ใส่ผัก ให้บะหมี่ถ้วยนั้นมีโปรตีนและวิตามินเพิ่มขึ้น

แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป ใครที่ไม่อยากเสี่ยงมีปัญหาสุขภาพร้อยแปดอย่าง ก็ควรบอกเลิกกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างเด็ดขาด เพราะจาก 10 เหตุผลที่ไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดังนี้

1. สารอาหารไม่ครบถ้วน
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ซองมีสารอาหารหลัก ๆ อยู่แค่ไม่กี่อย่าง ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ครบถ้วนพอที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว นอกจากนี้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ก็ไม่ควรรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นตัวบล็อกให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์จากอาหารชนิดอื่นได้อีก

2. มีสารก่อมะเร็ง
สารสไตโรโฟม (Styrofoam) หรือสารเคมีที่พบมากในกล่องโฟม และพลาสติกทั้งหลาย เป็นสารที่ถูกพบว่ามีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยเหมือนกัน ซึ่งไม่บอกก็คงพอจะเดากันออกว่าสารเคมีตัวนี้มีอันตรายอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญก็เป็นสารที่เข้าไปกระตุ้นเซลล์มะเร็งในร่างกายของเราให้เจริญเติบโตเร็วขึ้นด้วย ยิ่งถ้าเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยที่สะดวกและง่าย แต่รู้ไหมว่า บะหมี่ถ้วยนั้นทวีสารก่อมะเร็งอีกหลายเท่าเลยนะจ๊ะ

3. อันตรายต่อลูกในท้อง
หญิงตั้งครรภ์ทั้งหลายไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างยิ่ง เพราะนอกจากสารอาหารที่ได้ไม่ครบถ้วนแล้ว สารสังเคราะห์จากอาหารสำเร็จรูปยังมีส่วนทำให้เด็กในครรภ์ได้รับอันตราย บางรายอาจจะถึงขั้นแท้งบุตรเลยก็ได้ ฉะนั้นเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น โฟเลต วิตามินบี แคลเซียม และเหล็กดีกว่านะ

4. เป็นอาหารขยะ
แม้ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และไฟเบอร์ แต่ก็มีผงชูรสในปริมาณที่เยอะมาก จนเทียบเท่าอาหารขยะทั่วไปเลยทีเดียว ฉะนั้นหากปล่อยให้ร่างกายคุ้นชินกับสารอาหารเหล่านี้เรื่อย ๆ ร่างกายเราก็จะขาดสารอาหารที่สำคัญ ๆ ไปหลายอย่างเลยล่ะ

5. โซเดียมสูง
เมื่อมีผงชูรสในปริมาณสูง ก็หมายความว่าโซเดียมที่มีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะสูงตามไปด้วย และหากใครมีปริมาณโซเดียมในร่างกายมากเกินไป ก็จะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไตวาย และโรคอัมพาตได้เลยนะ

6. ผงชูรสเต็มเปี่ยม
โมโนโซเดียม กลูตาเมต (Mono sodium Glutamate) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ผงชูรส เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะจะช่วยชูรสให้มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งใครที่มีอาการแพ้เจ้าผงชูรสนี้ ก็อาจได้รับผลกระทบแบบเฉียบพลันทันที โดยอาจจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน หน้าแดงก่ำ คัน หรืออาการแพ้อื่น ๆ ตามมาได้ง่าย ๆ

7. โรคอ้วนถามหา
อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ไม่ยาก เนื่องด้วยความที่มีโซเดียม และแป้งสูง จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำและมีน้ำหนักเกินได้ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย และไม่ควบคุมอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นหากไม่อยากเสี่ยงเป็นโรคอ้วน ก็ควรงดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันตั้งแต่วันนี้เลยนะจ๊ะ

8. ก่อกวนระบบย่อยอาหาร
เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีแต่แป้งและคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ จึงจัดว่าเป็นอาหารที่ย่อยยาก และยังมีผลต่อระบบลำไส้และระบบย่อยอาหารของเราไม่น้อยเลย เพราะสารอาหารพวกนี้เคลื่อนที่ในลำไส้ได้ค่อนข้างลำบาก ด้วยเหตุนี้เลยกลายเป็นอาหารที่ไม่ควรรับประทานเท่าไร โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

9. ลดประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกัน         
โพรไพลีน ไกลคอน (Propylene Glycol) หรือ พีจี ที่มีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะเข้าไปก่อกวนระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนอาจจะเป็นเหตุให้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นมาได้ อีกทั้งสารโพรไพลีน ไกลคอนยังซึมซามลงสู่ตับ ไต หัวใจ และอวัยวะภายในเราได้ง่าย ๆ อีกด้วย รู้แบบนี้กลัวขึ้นมาหรือยังจ๊ะ

10. อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลดลง
ทั้งสารสังเคราะห์จากธรรมชาติ สารแต่งกลิ่น แต่งสี และสารกันบูดในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ล้วนแล้วแต่มีส่วนทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย (Metabolism rate) ลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าหิ้วท้องไว้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อย ๆ ระบบเมตาบอลิซึมก็จะถดถอยลงเรื่อย ๆ จนเสี่ยงมีน้ำหนักเกินได้ในที่สุด

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ใช่จะเป็นอันตรายเสียทีเดียว!!

 หากเรารู้จักรับประทานอย่างถูกวิธี และเพิ่มคุณค่าอาหาร สารประโยชน์แล้ว ด้วยการใส่ไข่ เนื้อสัตว์ และผักลงไป รับประทานอย่างพอดี ควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : Beauty Health Fitness,วารสารฉลาดซื้อ

เครื่องดื่มช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมตับ และทำความสะอาดตับ

สูตรเครื่องดื่มแก้วช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมตับ และทำความสะอาดตับ


คุณจะรู้ได้อย่างไรเมื่อคุณป่วย? 

เมื่อระบบย่อยอาหารของคุณเต็มไปด้วยก๊าซหรือของเหลวจะทำให้คุณเจ็บป่วย จะทำให้คุณหายใจลำบากและวิงเวียนศีรษะ จากนั้นหัวใจของคุณจะเริ่มทำงานผิดปกติ แต่สิ่งนี้จะเกี่ยวพันไปถึงอวัยวะอื่น ๆ ของคุณหรือไม่

คุณจะไม่ทราบถึงสภาพของไตหรือตับเลยจนกว่าคุณจะเกิดอาการเจ็บป่วย

คุณไม่ได้มองข้ามความสำคัญของพวกมันเพียงแต่คุณไม่รู้สึกเท่านั้น ตับไม่เพียงแต่ล้างพิษในร่างกายของคุณ มันยังเก็บน้ำตาลและสารอาหาร แบ่งแยกสารฮีโมโกล อินซูลิน และฮอร์โมน แปลงสารละลายแอมโมเนียในปัสสะวะ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญและทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่า


วิธีดูแลตับ

เนื่องจากตับมีหน้าที่กรองสารพิษและของเสียทุกอย่างที่คุณนำเข้าไปในร่างกาย วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีคือการบริโภคอาหารออร์แกนนิค และอาหารที่มีไฟเบอร์ และควรบริโภคอย่างเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากที่สุด ลดอาหารที่มีน้ำตาล และลดการใช้ยาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

หากคุณรู้สึกว่าร่างกายทรุดโทรมมาก คุณลองดีท็อกซ์ตับของคุณด้วยเครื่องดื่มง่ายๆนี้ มันจะช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมตับของคุณ

ยาบำรุงช่วยทำความสะอาดตับ 

ส่วนผสม:

ใบสะระแหน่สดหนึ่งกำมือ
น้ำส้ม 1/2 - 1 ถ้วย (ขูดเปลือกเพิ่มได้เช่นกัน)
น้ำมะนาว 1 ช้อนชาและเปลือกมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำกรองสะอาด 1 ลิตร
น้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ

วิธีทำ

-นำน้ำไปต้มแล้วใส่ใบสะระแหน่

-เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที

-นำออกจากความร้อนและปล่อยให้เย็น

-เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มพร้อมด้วยเปลือกมะนาวขูด

-สุดท้ายเติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ

คุณจะได้อะไรจากส่วนผสมเหล่านี้

ใบสะระแหน่

ใบสะระแหน่เต็มไปด้วยสารไฟโตอีสโตรเจน ที่ป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แม้ว่าการได้รับไฟโตอีสโตรเจนมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหากับระบบสืบพันธุ์และนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็ง แต่ถ้าได้รับในจำนวนที่เหมาะสมมันจะช่วยหยุดไวรัสอาร์เอ็นเอ

ส้ม

ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งสามารถต่อสู้กับการอักเสบป้องกันความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด โรคตา และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน เยื่อในผลส้มยังทำหน้าที่ดูดซับและช่วยขับน้ำดีซึ่งมีสารที่เป็นพิษต่อตับของคุณ

มะนาว

มะนาวอัดแน่นไปด้วยแคลเซียมซิเตรท มันช่วยสกัดกั้นสารพิษและช่วยบำรุงร่างกาย นักวิจัยยังค้นพบว่าสารในเปลือกมะนาวจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งช่วยรักษาและป้องกันโรคไขมันสะสมในตับ

The BMC นิตยสารเภสัชวิทยายังเผยแพร่การศึกษาซึ่งพบว่าเฮสเพอริดิน สารที่จะพบในส้มและมะนาวสามารถรักษาโรคตับได้ 

อ้างอิง : healthiestalternative.com 
แปลข้อมูลโดย : http://www.rak-sukapap.com/ เว็บไซต์ใดที่นำข้อมูลไปเผยแพร่ กรุณาช่วยให้ เครดิต และใส่ลิงค์กับมาที่เว็บไซต์ด้วยค่ะ

25 คำคมดีๆจาก ขงเบ้ง กุนซือแห่งสามก๊ก >>> ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล !!!

25 คำคมดีๆจาก ขงเบ้ง กุนซือแห่งสามก๊ก ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล !



ขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง มีอุปนิสัยและความคิดที่ฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้สรรพวิชาอย่างแตกฉานทั้งวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทูต คุณธรรม ใจคอเยือกเย็นมีเมตตา ชอบอวดอ้างและลองดีกับผู้ที่มีนิสัยกล่าวโอ้อวดตนเอง อุดมด้วยวาทะศิลป์ ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับชาวบ้านที่เชิงเขาโงลังกั๋ง

โดยช่วยเหลือชาวบ้านในการทำนาต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน วันนี้เราจึงนำข้อคิดดีๆที่ขงเบ้งได้เคยกล่าวไว้มาฝากเพื่อนๆกันเลย

1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย

เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย

ดังนี้แล้ว “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”

3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด

5. ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

8. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

10. เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

12. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่

13. ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่

14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ใช่ หรือ อาจจะ” เขามีความหมายว่า “อาจจะ”

17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า “อาจจะ” เขามีความหมายว่า “ไม่”

18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ไม่” เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ไม่” หล่อนมีความหมายว่า “อาจจะ”

20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “อาจจะ” หล่อนมีความหมายว่า “ใช่ หรือ ได้”

21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ใช่ หรือ ได้” หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ

23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

25. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้นแต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

source: unigang,wikipedia
ที่มา...http://www.scholarship.in.th

ห้ามผ่าน ต้องอ่าน!! ต้องอ่าน สำคัญมาก จนต้องแชร์

ดร. รุ่ง  จาก รพ. จุฬาส่งมาให้ น่าสนใจมาก

Shafin de Zane presents: What is Cancer?


    นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า 
จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ
(Cancer is Natural)

     มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ

    เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า
ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็นผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก

   จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ 
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

    มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป
เอาละ 

คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน 
เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร??


มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ:

????วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด

-- เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ 
- หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4
- หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ
การออกกำลัง ของเราทุกวิธี


????วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน กรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน
อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก

- งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
- รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน

????วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
 ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย
และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว 

????และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้

ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง

จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้ น่าอยู่ขึ้น


เครดิต ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา
http://www.topicza.com/news14948.html

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าเงินแสน

เทคนิคง่ายๆ “วิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าเงินแสน” แค่ทำแบบนี้ ก็มีกล้วยขายตลอดปี..


น่าเหลือเชื่อมาก มันคือเรื่องของกล้วย กล้วยน้ำว้า ที่ใครๆเห็นอาจจะมองว่าธรรมดา แต่หารู้ไหมว่า กล้วยมีประโยชน์มากมาย ใช้ได้เกือบทุกส่วน และเหมาะที่จะปลูกมาก เพราะทุกวันนี้ราคากล้วยพุ่งสูงมาก เมื่อเช้าไปเดินแถวๆตลาดขายส่ง หวีละ 20 บาท ไปดูตลาดขายปลีก แพงถึงหวีละ 30 บาทเลยทีเดียว กล้วยน้ำว้ามีสารอาหารหลายชนิด มีวิตามินเอ ,บี 1 ,บี 2 ,ซี และไนอะซิน (บี 6) ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย

นอกจากนี้กล้วยน้ำว้ายังมีโปรตีนที่มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง กล้วยน้ำว้า หนึ่งผล สามารถให้พลังงานได้ ประมาณ ๑๐๐ แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติ อยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทสและกลูโครส มีเส้นใยและกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายง่าย 

เห็นกล้วยมีประโยชน์มากมาย และราคาดีแบบนี้ Blogger Farmfriend เลยจะขอนำเสนอวิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าให้ออกลูกตลอดปี เพื่อที่จะมีกล้วยไว้ทาน และจำหน่าย โดยไม่ต้องโดนพ่อค้าคนกลางกดราคาดั่งเช่นที่เกษตรกรทั่วไปประสบปัญหากันอยู่ เหมือนทุกวันนี้


วิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าให้ออกลูกได้ตลอดปี

1.ทำการเลือกต้นพันธุ์โดยในที่นี้ขอเสนอให้เลือกต้นพันธุ์จากการเพาะเนื้อเยื่อ จะทำให้กล้วยปลอดโรค และออกลูกได้พร้อมกัน

2.ทำการเตรียมดิน โดยการไถดะด้วยผานสามตากดินประมาณหนึ่งเดือน และไถแปรด้วยผานห้าอีกทีตากดินทิ้งไว้ประมาณหนึ่งเดือน

3.กำหนดระยะและขนาดหลุมปลูก โดยระยะที่เหมาะสมคือ 4×4 เมตร และควรขุดหลุม 50x50x50 เซ็นติเมตร เพราะรัศมีของรากกล้วยจะหากินไม่เกิน 50 เซ็นติเมตร การขุดหลุมขนาดนี้จะทำให้รากกล้วยหากินได้ไกลขึ้น และความลึกของหลุมจะแก้ปัญหาการขึ้นโคนหรือโคนลอย โดยการปลูกครั้งหนึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ 4-5 ปีเลยทีเดียว ถ้าขุดหลุมขนาดเล็กและตื้นกว่านี้ จะให้ผลผลิตแค่ปีสองปีก็ต้องรื้อปลูกใหม่แล้ว


4. ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมดินประมาณหลุมละ 2 กิโลกรัม รองหนาขึ้นมาประมาณ 30 เซ็นติเมตร แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบบริเวณโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน และควรรองก้นหลุมด้วยฟูราดานป้องกันหนอนกอกล้วยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อหลุม

5.ปลูกเสร็จให้น้ำตามทันทีให้ชุ่มชื้นพอเพียง ไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทนทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน

6. ในระยะเดือนแรกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และดินต้องชุ่มชื้นเพียงพอ เป็นเดือนที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก หากเป็นการให้น้ำแบบฝอยหรือมินิสปริงเกลอร์ จะทำให้ต้นตั้งตัวได้เร็ว สามารถสร้างใบและลำต้นใหม่ได้ดี โอกาสรอดสูงกว่าการลากสายยางรดน้ำ และเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้น หลังปลูกได้ 1 เดือน และเดือนที่ 2 ส่วนเดือนที่ 3 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทน


ุ7.เดือนที่ 2 และ 3 ต้นกล้วยจะมีต้นและใบใหม่ทั้งหมด ปัญหาคือหญ้าขึ้นคลุมต้น ต้องถากหญ้าบริเวณโคนต้นออกให้หมด

8. เดือนที่ 4 การเจริญเติบโตเร็วมาก ทั้งความสูงและรอบวงต้นใกล้เคียงปลูกจากหน่อพันธุ์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดต้นปลูกเริ่มแรก ถ้าสูง 15 เซนติเมตร ขึ้นไป จะโตทันกัน ถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ต้นรอดตายทั้งหมด การดูแลทำเช่นเดียวกับการปลูกด้วยหน่อ โดยให้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้นในเดือนที่ 4 และ 5 ส่วนเดือนที่ 6 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทนและงดใส่ปุ๋ยจนกว่าจะแทงปลี ถึงจะใส่ปุ๋ยเคมีอีกครั้ง จนกระทั่งหลังเก็บเกี่ยวถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยในรอบใหม่

9.ในช่วง 1-6 เดือนหลังปลูกให้ปาดหน่อที่โผล่ออกมาทิ้งไปพอหลังจากอายุ 6 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 1 พอหน่อที่ 1 อายุ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 2 หลังจากนั้นทุกๆ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 3 และ 4, 5 ตาม โดยหน่อที่ขึ้นมาในช่วงที่ไม่ได้กำหนดให้ปาดทิ้งทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อจะไว้หน่อที่ 5 ต้นแม่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเครือกล้วยได้แล้ว ฉะนั้นจะกลายว่ากอนั้นมีต้นกล้วย 4 ต้น ที่อายุห่างกัน 3 เดือน โดยมีหน่อที่ 1 ที่อายุห่าง 6 เดือน ดังนั้น เมื่อใช้ระบบนี้ต่อไปหลายๆ ปีจะทำให้กล้วยน้ำว้าในแปลงมีอายุห่าง 3 เดือน”


“สาเหตุที่ไว้หน่อทุก 3 เดือน มีเหตุผลว่า ด้วยการออกผลผลิตของกล้วยน้ำว้าในแปลงนั้นจะออกไม่พร้อมกัน ถึงแม้ไว้ใกล้เคียงกัน จะมีการกระจายตัวในการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 เดือน โดยจากข้อมูลที่ศึกษาจากการปลูกกล้วยน้ำว้าด้วยหน่อพบว่า จะมีช่วงแรกที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์

 ช่วงกลางๆ จะเก็บได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และช่วงปลายเก็บได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ “ทีนี้ถ้าค่อยๆ ปลูกหรือไว้หน่อไป กล้วยที่ออกผลในช่วงปลาย 25 เปอร์เซ็นต์ จะไปรวมกับ 25 เปอร์เซ็นต์ของช่วงแรกในอีกแปลงหนึ่ง จะทำให้ได้ผลผลิตรวมเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ 

เพราะฉะนั้นทั้งปีด้วยวิธีการนี้ ทำให้สามารถมีผลผลิตกล้วยน้ำว้าจำหน่ายให้กับพ่อค้าได้ตลอดทั้งปีและสามารถ ต่อรองราคากับพ่อค้าได้ โดยไม่ต้องถูกกดราคาเพราะจำเป็นต้องตัดขายทั้งแปลง”


10.เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 9 กล้วยจะเริ่มแทงปลี การแทงปลีหรือตกเครือจะเร็วหรือช้ากว่าหน่อพันธุ์ ขึ้นอยู่กับขนาดลำต้นปลูกเริ่มแรกและการดูแลรักษา หากต้นพันธุ์ที่มีขนาดความสูง 15 เซนติเมตรขึ้นไป หรือมีเส้นรอบวงต้นมากกว่า 4 เซนติเมตร การตกเครือใกล้เคียงกับหน่อพันธุ์ ขนาด 1 เมตร

 หากต้นมีขนาดใหญ่กว่านี้ การตกเครือจะเร็วกว่าหน่อพันธุ์ และหากเล็กกว่านี้การตกเครือจะช้ากว่าหน่อพันธุ์ อายุเครือกล้วยจากการแทงปลีจนกระทั่งเก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 4 เดือน เท่ากับหน่อพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วไป

เพียงแค่ปฏิบัติตามขั้นตอนเพียงเท่านี้เราก็จะมีกล้วยน้ำว้าที่ลูกใหญ่และดก ถึงเครือละไม่ต่ำกว่าสิบหวีไว้บริโภคและจำหน่ายโดยไม่ต้องง้อพ่อค้าคนกลาง แล้วหล่ะครับ…